โฆษณาต่อต้านคอร์ปชั่น

พระมหาสมปอง กล่าวเชิญชวนทุกๆ ท่านมาร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

วิธีการระงับอารมณ์โกรธ

ตอบแทนพระคุณบิดามารดา

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

น้ำตกไนแอการา


น้ำตกไนแอการา (อังกฤษ: Niagara Falls ; ฝรั่งเศส: les Chutes du Niagara) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่หลายแห่งประกอบกัน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไนแอการาทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ บนพรมแดนระหว่างประเทศแคนาดากับสหรัฐอเมริกา น้ำตกไนแอการาประกอบด้วยน้ำตกสามแห่งที่แยกออกจากกัน คือ น้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls บางครั้งก็เรียก น้ำตกแคนาดา) สูง 158 ฟุต, น้ำตกอเมริกาสูง 167 ฟุต, และน้ำตกขนาดเล็กกว่าที่อยู่ติดกัน คือน้ำตก Bridal Veil. แม้น้ำตกไนแอการาจะไม่สูงอย่างโดดเด่น แต่ก็กว้างมาก

น้ำตกไนแองการามีจุดชมวิวที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของทั้ง 2 ประเทศมานานกว่าศตวรรษ

แม่น้ำไนแอการาไหลมาจากทะเลสาบอีรีไหลผ่านน้ำตกไนแอการาลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอ เมืองสองฝั่งของน้ำตกในสองประเทศนั้นเป็นเมืองแฝด โดยในฝั่งแคนาดาคือ ไนแอการาฟอลส์ ออนตาริโอ ส่วนในฝั่งสหรัฐอเมริกาคือ ไนแอการาฟอลส์ มลรัฐนิวยอร์ก

แม่น้ำเจ้าพระยา


แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแม่น้ำสายหลักสายหนึ่งของประเทศไทย เกิดจากการรวมตัวของแม่น้ำสายหลัก 2 สายจากภาคเหนือ คือแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่าน ที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นไหลลงไปทางทิศใต้ ผ่านจังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ก่อนออกสู่อ่าวไทยที่ปากน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างเขตตำบลท้ายบ้าน ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ

ข้อมูลทางภูมิศาสตร์จุดเริ่มของแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยการรวมของแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่าน ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีพื้นที่ 20,125 ตารางกิโลเมตร (ไม่รวมลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน สะแกกรัง ป่าสัก และท่าจีน)และมีความยาวถึง 372 กิโลเมตร โดยแยกออกเป็นแม่น้ำท่าจีนที่จังหวัดชัยนาท

แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแม่น้ำเก่าในยุคไพลสโตซีน เป็นหนึ่งแควหลักของแม่น้ำซุนดาเหนือ ร่วมสมัยกับแม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำพุมดวง-ตาปี ต่อมาในต้นยุคโฮโลซีน น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นจากการละลายของน้ำแข็ง ทำให้ขอบเขตแม่น้ำเจ้าพระยาหายไป เนื่องจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเกือบทั้งหมดจมอยู่ใต้อ่าวไทยโบราณ จากนั้นจึงเริ่มการทับถมของดินตะกอนใหม่อีกครั้งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน

ป่าสนเขา


ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ 200-1800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตร จากระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขา เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง รัง เหียง พลวง เป็นต้น

พระพุทธรูปปาวไสยาสน์


พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถนอนตะแคงขวา พระบาททั้งสองข้างซ้อนทับเสมอกัน พระหัตถ์ซ้ายทาบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาตั้นขึ้นรับพระเศียรและมีพระเขนย (หมอน) รองรับบางแบบพระเขนยวางอยู่ใต้พระกัจฉะ (รักแร้












ในสมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ในพระนครสาวัตถีอสุรินทราหูบุชาของท้าวเวปจิตติอสูร ผู้ครองอสูรพิภพ ได้สดับพระเกียรติคุณของพระพุทธองค์จากสำนักเทพยดาทั้งหลาย จึงมีความปรารถนาจะไปเฝ้า แต่คิดว่าพระพุทธองค์เป็นมนุษย์ มีพระวรกายเล็กถ้าเข้าไปเฝ้าก็คงต้องก้มลงมอง ซึ่งจะทำให้ตนเองลำบากทั้งไม่เคยคิดจะก้มหัวให้ใครอีกด้วย ดั้งนั้นจึงไม่ยอมเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แต่เมื่อเห็นเหล่าทวยเทพจำนวนมากไปเฝ้าพระพุทธองค์เนื่อง ๆ จึงไม่อาจทนอยู่ได้ ในราตรีวันหนึ่งจึงตัดสินใจเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์
ฝ่ายพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าอสุรินทราหูจะมาเฝ้า จึงมีรับสั่งให้พระอานนท์ ปูลาดบรรจถรณ์แล้วก็สำเร็จสีหไสยาสน์รออสุรินทราหูบนพระแท่นที่ประทับ ทรงทำปาฏิหาริย์เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่กว่าพระอสุรินทราหูหลายเท่า ซึ่งปรากฏเห็นได้เฉพาะอสุรินทราหูเท่านั้น
เมื่ออสุรินทราหูเข้าไปเฝ้าก็อัศจรรย์ใจ แทนที่ตนจะต้องก้มหน้ามองดูพระพุทธองค์ แต่กลายเป็นว่าต้องแหงนหน้ามองดูพระพุทธลักษณะ จนเป็นที่พอใจจากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้พาเอาอสุรินทราหูไปปรากฎยังพรหมโลก ซึ่งก็มีพระพรหมจำนวนมาก พากันมาเข้าเฝ้า และล้วนแต่มีอัตตภาพใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูหลายร้อยหลายพันเท่า แต่ทั้งหมดก็ยังมีกายเล็กกว่าพระพุทธองค์ทั้งสิ้นส่วนอสุรินทราหูนั้นต้องคอยหลบอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระพุทธองค์ตลอดเวลา เพราะความหวาดกลัว
ในที่สุดอสุรินทราหูก็หมดมานะทิฏฐิอันแข็งกระด้าง กลับมีใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและพระพุทธองค์ได้พากลับมายังมนุษย์โลก
ด้วยเหตุนี้ ต่อมาจึงได้มีการสร้างพระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหูหรือปางไสยาสน์ขึ้น และกลายมาเป็นพระบูชาประจำวันเกิดสำหรับผู้เกิดวังอังคาร

พระพุทธรูปปางถวายเนตร


ปางถวายเนตร เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถยืน ลืมพระเนตรทั้งสองเพ่งไปข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาประสานกันอยู่ข้างหน้าระหว่างพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนเหลื่อมอยู่บนพระหัตถซ้าย อยู่ในอาการสังวรทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์

ประวัติ
หลังจากที่พระบรมโพธิสัตว์ได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (สุขที่เกิดจากความหลุดพ้น) ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ 7 วัน จากนั้นเสด็จไปทรงยืนอยู่กลางแจ้ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงทำอุปหาร คือ ยืนทอดพระเนตรต้นศรีมหาโพธิ์ สถานที่เสด็จมาทรงยืนทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นได้นามว่า "อนิมิสเจดียสถาน"

ความเชื่อและคตินิยมเป็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดของคนเกิดวันอาทิตย์
พระคาถาสวดบูชา โมรปริตร สวด 6 จบ
อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะ วิปปะภาโส ตัง ตัง มะมัสสามิ หะริส สะวัณนัง ปะฐะ วิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม เต เม นโม เต จะ มัง ปาละยันตุ นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา อิมัง โส ปะริตตัง กัตวา โมโร จะระติ เอสะนาฯ

พระพุทธรูปปางนาคปรก


ปางนาคปรก เป็นชื่อเรียกพระพุทธรูปลักษณะนั่งสมาธิ และมีพญานาคแผ่หัวเป็นพังพานขึ้นจากไหล่ไปปรกพระเศียรของพระพุทธรูป แต่เดิมทำเป็นรูปพญานาคเป็นมนุษย์ มีรูปงู 7 หัวเป็นพังพานขึ้นจากไหล่ไปปรกพระเศียร ในกิริยาที่พญานาคทำท่านมัสการพระพุทธเจ้า ต่อมาภายหลังทำพญานาคเป็นรูปงูขดตัวเป็นฐานตั้งพระพุทธรูปนั่งสมาธิบนตัวพญานาค และมีพังพานและหัวของพญานาค 7 เศียรปรกอยู่

ประวัติ
หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ พระองค์ท่านได้แปรที่ประทับเพื่อเสวยวิมุติสุขยังสถานที่ต่าง ๆ ในอาณาบริเวณที่ไม่ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์นักโดยประทับแต่ละที่สัปดาห์ละ 7 วัน และในสัปดาห์ที่สาม ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงประทับ ณ ใต้ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาประทับอยู่ที่นี่ ได้บังเกิดมีฝนและลมหนาวตกพรำตลอดเจ็ดวันไม่ขาดสาย ผู้รจนาปฐมสมโพธิได้แต่งเล่าเรื่องไว้ว่า พญานาคชื่อ "มุจลินท์" ได้ขึ้นจากสระน้ำที่อยู่ในบริเวณแห่งเดียวกันนี้ เข้าไปวงขนด 7 รอบ แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้า เพื่อป้องกันลมฝนมิให้พัดและสาดกระเซ็นมาต้องพระวรกาย ครั้นฝนหาย ฟ้าสาง พญานาคจึงคลายขนดออก แล้วจำแลงเป็นเพศมาณพยืนเฝ้าพระพุทธเจ้าทางเบื้องพระพักตร์ ลำดับนั้นพระพุทธองค์จึงทรงเปล่งอุทานว่า “

'''ความสงัดคือความสุขของบุคคลผู้มีธรรมอันได้สดับแล้วได้รู้เห็นสังขารทั้งปวงตามเป็นจริงอย่างไร'''
'''ความสำรวมไม่เบียดเบียนในสัตว์ทั้งหลาย และ ความเป็นผู้ปราศจากกำหนัดหรือสามารถก้าวล่วงพ้นซึ่งกามทั้งปวงเสียได้'''
'''เป็นสุขอันประเสริฐในโลก ความขาดจากอัสมิมานะหรือการถือตัวตนหากกระทำให้ (การถือตัว) หมดสิ้นไปได้นั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง'''

ประวัติและความสำคัญ ครั้นพระพุทธองค์เสด็จประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้อชปาลนิโครธสิ้น ๗ วัน แล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขยังร่มไม้จิก อันมีชื่อว่า มุจจลินท์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ วันนั้นเกิดฝนตกพรำอยู่ไม่ขาดสายตลอด ๗ วัน พญานาคมุจจลินท์ ผู้เป็นราชาแห่งนาค ได้ออกจากนาคพิภพ ทำขนดล้อมพระวรกาย ๗ ชั้น แล้วแผ่พังพานใหญ่ปกคลุมเบื้องบน เหมือนกั้นเศวตฉัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์มิให้ฝนและลมหนาวสาดต้องพระวรกาย ทั้งป้องกันเหลือบ ยุง บุ้ง ร่าน ริ้น และสัตว์เลื้อยคลานทั้งมวลด้วย ครั้งฝนหายแล้ว พญามุจจลินท์นาคราช จึงคลายขนดจากที่ล้อมพระวรกาย พระพุทธเจ้า จำแลงเพศเป็นมาณพน้อยยืนทำอัญชลีถวายนมัสการพระพุทธองค์ ในที่เฉพาะพระพักตร์ ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า สุโข วิเวโก ตุฏฺฐัสสะ สุตะธัมมัสสะ ปัสสะโต อัพยาปัชชัง สุขัง โลเก ปาณะภูเตสู สัญญะโม สุขา วิราคะตา โลเก กามานัง สะมะติกฺกะโม อัสมิมานัสสะ วินะโย เอตัง เว ปะระมัง สุขัง ฯ ความว่า ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้มีธรรมอันได้สดับแล้ว รู้เห็นสังขารทั้งปวงตามเป็นจริงอย่างไร ความเป็นคนไม่เบียดเบียน คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย และความเป็นคนปราศจากความกำหนัด คือความก้าวล่วงกามทั้งปวงเสียได้ เป็นสุขในโลกความนำออกเสียซึ่งอัสมินมานะ คือความถือตัวตนให้หมดได้นี้เป็นสุขอย่างยิ่ง พระพุทธจริยาที่เสด็จประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ภายในวงขนดของพญานาคมุจจลินท์นาคราชที่ขดแวดล้อมพระกายอยู่นี้ เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้นมา เรียกว่า ปางนาคปรก เรื่องพระปางนาคปรกนี้ นิยมสร้างเป็นพระนั่งบนขนดตัวพญานาคเหมือนเอานาคเป็นบัลลังก์ดูสง่า องอาจเป็นพระเกียรติอำนาจของพระองค์อย่างหนึ่ง ได้ลักษณะเป็นอย่างพระเจ้าของพราหมณ์ ถ้าจะรักษาลักษณะของพระพุทธรูปตามประวัติ ก็จะเป็นไปอีกในลักษณะหนึ่งคือ พระพุทธรูปจะมีพญานาคพันรอบพระวรกายด้วยขนดตัวพญานาคถึง ๔-๕ ชิ้น จนบังพระวรกายมิดชิด เพื่อป้องกันฝนและลม จะเห็นได้ก็เพียงพระเศียร พระศอ และพระอังสาเป็นอย่างมาก ทั้งเบื้องบนก็มีหัวพญานาคแผ่พังพานปกคลุมอีกด้วย

ความเชื่อและคตินิยม
เป็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดของคนเกิดวันเสาร์
พระคาถาบูชา สวด 10 จบ (องคุลีมาลปริตร) ดังนี้ "ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิ ชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ"

พระพุทธรูปปางสมาธิ


ปางสมาธิ เป็นชื่อเรียกพระพุทธรูปลักษณะนั่งสมาธิ นั่งลำพระองค์ตั้งตรงพระบาท (เท้า) ทั้งสองซ้อนกัน โดยพระบาทขวาซ้อนทับอยู่บนพระบาทซ้าย พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนหงายกันบนพระเพลา (ตัก) โดยวางพระหัตถ์ขวาซ้อนหงายอยู่บนพระหัตถ์ซ้าย (ท่าสมาธิราบ ขาขวาทับขาซ้าย) จัดเป็น "ปฐมปาง" หรือปางที่ให้กำเนิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระองค์ทรงอยู่ในพระอิริยาบถนี้ในคืนวันตรัสรู้ เรียกได้อีกอย่างว่าปางตรัสรู้ หรือเป็นพระพุทธรูปในอิริยาบทประทับนั่งสมาธิโดยใช้ข้อพระบาททั้งสองข้างขัดกันซึ่งเรียกว่า (ปางขัดสมาธิเพชร)

ประวัติ
เป็นท่านั่งสมาธิหลังจากพระพุทธเจ้าทรงกำจัดพระยามาร และเสนามารให้ปราชัยไปแล้ว ด้วยพระบารมีตั้งแต่เวลาเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก (ปางมารวิชัย) ทรงเจริญสมาธิภาวนาด้วยท่านั่งสมาธินี้จนทำจิตให้ปราศจากอุปกิเลส บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุถฌาน ซึ่งเป็นส่วนของรูปสมาบัติ ที่เรียกว่า "เข้าฌานสมาบัติ" จากนั้นก็ใช้ฌานสมาธิที่แน่วแน่นั้น เจริญปัญญา หรือองค์วิปัสสนา จนได้บรรลุ "ญาณ" (คือ ความรู้แจ้ง) ที่เรียกว่า "อภิญญาญาณ" (ความรู้แจ้งอันประเสริฐสุด) ทั้งสามประการคือ ทรงบรรลุญาณที่หนึ่ง ในตอนปฐมยาม (ประมาณ 3 ทุ่ม) ญาณนี้เรียกว่า "บุพเพนิวาสานุสติญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงอดีตชาติหนหลังทั้งของตนและของคนอื่น พอถึงมัชฌิมยาม (ประมาณเที่ยงคืน) ก็ได้บรรลุญาณที่สอง ที่เรียกว่า "จุตูปปาตญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงความจุติ คือ ดับและเกิดของสัตว์โลก ตลอดจนถึงความต่างกันที่เรียกว่า "กรรม" พอถึงปัจฉิมยาม (หลังเที่ยงคืนล่วงแล้ว) ทรงบรรลุญาณที่สาม คือ "อาสวักขยญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงความสิ้นไปของกิเลส และอริยสัจสี่ คือความทุกข์ (ทุกข์) เหตุเกิดของความทุกข์ (สมุทัย) ความดับทุกข์ (นิโรธ) วิธีดับทุกข์ (มรรค) และกำจัดอวิชชาไปจนสิ้นจากกมลสันดาน

ความเชื่อและคตินิยม
1.เป็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดของคนเกิดวันพฤหัสบดี
2.พระคาถาบูชา สวด 19 จบ
ปูเรนตัม โพธิสัมภาเร นิพพัตตัง โมระโยนิยัง เยนะ สังวิหิตารักขัง มะหาสัตตัง วะเนจะราฯ
จิรัสสัง วายะมันตาปิ เนวะ สักขิงสุ คัณหิตุง พรัหมะ มันตินติ อักขาตัง ปะริตตัน ตัมภะฌามะเหฯ

พระพุทธรูปปางห้ามญาติ


ประวัติ
ครั้งหนึ่งเมื่อเหล่ากษัตริย์ตระกูลศากยวงศ์ พระญาติฝ่ายพุทธบิดา และเหล่ากษัตริย์ตระกูลโกลิยวงศ์ พระญาติฝ่ายพุทธมารดา เกิดการทะเลาะวิวาทกันเพราะเรื่องแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีเนื่องจากฝนแล้ง น้ำไม่เพียงพอ ทำให้การทะเลาะวิวาทลุกลามไป จนเกือบกลายเป็นศึกสงครามระหว่างกัน พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุด้วยพระญาณ จึงเสด็จไปห้ามสงคราม โดยตรัสให้เห็นถึงความไม่สมควรที่กษัตริย์ต้องมาฆ่าฟันกันด้วยสาเหตุเพียงแค่การแย่งน้ำเข้านา และได้ตรัสเตือนสติว่า ระหว่างน้ำกับความเป็นพี่น้อง อะไรสำคัญยิ่งกว่ากัน ทั้งสองฝ่ายจึงได้สติ คืนดีกัน และขอพระราชทานอภัยโทษต่อเบื้องพระพักตร์พระพุทธองค์

ความเชื่อและคตินิยม
เป็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันจันทร์ เช่นเดียวกับปางห้ามสมุทรและปางห้ามญาติ
พระคาถาประจำวัน บท ยันทุนนิมิตตัง สวด 15 จบ
เป็นพระพุทธรูปประจำปีฉลูเช่นเดียวกับปางโปรดพุทธมารดา

พระคาถา
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

พระพุทธรูปปางลีลา


ประวัติ

เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมด้วยเหล่าเทวดาและพรหมที่ตามมาส่งเสด็จนั้น ขบวนตามเสด็จมาหยุด ณ ประตูสังกัสสนคร เมืองที่พระสารีบุตรจำพรรษาอยู่ พระพุทธองค์ทรงมีพุทธลีลาและพระสิริงดงามยิ่ง ครอบงำรัศมีของเหล่าเทวดาและพรหมทั้งหลาย เป็นภาพที่งดงามเหนือคำบรรยาย เป็นที่ชื่นชมโสมนัสแก่พุทธบริษัทที่เฝ้ารับเสด็จ

ความเชื่อและคตินิยม

เป็นพระประจำวันเกิดของคนเกิดวันอังคารด้วยอีกปางหนึ่ง
เป็นพระประจำเดือนสิบเอ็ด

ป่าดิบชื้น


ป่าดิบชื้น (อังกฤษ:tropical rain forest) จัดเป็นป่าประเภทไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่มีสีเขียวตลอดทั้งปี ต้นไม้จะไม่ผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก ต้นไม้ไม่มีความจำเป็นต้องผลัดใบเพื่อลดการคายน้ำ

ป่าชนิดนี้มักจะเรียกกันว่าป่าดงดิบ เป็นป่าที่อยู่ในเขตมรสุมพัดผ่านเกือบตลอดทั้งปี ขึ้นอยู่ตามที่ราบลุ่ม ที่ราบเชิงเขาที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 0-100 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (บางครั้งอาจพบอยู่สูงถึงระดับ 250 เมตร) และมีปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 2,000 มม./ปี พบมากทางภาคใต้และแถบจังหวัดชายทะเลภาคตะวันออก เช่น จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด

[แก้] พรรณไม้เด่นลักษณะทั่วไปเป็นป่ารกทึบ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อยชนิด ต้นไม้ชั้นบนส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ยาง (Dipterocarpaceae) ซึ่งมีลำต้นสูงใหญ่ตั้งตรง ตั้งแต่ 30-50 เมตร พืชสำคัญที่พบเห็นได้ตามป่าดิบชิ้นทั่วไป ได้แก่ ยางมันหมู Dipterocarpus kerrii, ยางยูง D. grandiflorus, ยางเสียน D. gracilis, ยางวาด D. chartaceus, ยางกล่อง D. dyeri, ยางเกลี้ยง D. hasseltii, กะบาก Anisoptera curtisii, ตะเคียนชันตาแมว Neobalanocarpus heimii, เคี่ยม Cotylelobium lanceolatum, ไข่เขียว Parashorea stellata, ตะเคียนทอง Hopea odorata, ตะเคียนขาว H. pedicellata, ตะเคียนแก้ว H. sangal, ตะเคียนราก H. latifolia, แอ๊ก Shorea glauca, สยา S. laevis, กาลอ S. faguetiana, ตะเคียนสามพอน S. gratissima, กะบากหิน S. hypochra, สยาเหลือง S. curtisii, มารันตี S. dasyphylla, สยาขาว S. leprosula, ชันหอย S. macroptera, สยาเหลือง S. parvifolia, มารันตีเสงวาง S. singkawang, พันจำดง Vatica lowii, พันจำ V. odorata

ถัดมาไม้ชั้นกลาง เป็นไม้ต้นขนาดกลางและเล็ก ได้แก่ หลุมพอ สะตอ ยวน หยี สัตบรรณ ชันรูจี อินทนิลน้ำ ปาล์มบังสูรย์ พุงทะลาย ท้ายเภาขาว พระเจ้าห้าองค์ ส่วนพืชชั้นล่างเป็นพืชล้มลุกต่างๆ เช่น ระกำ หวาย ไผ่ เถาวัลย์ นอกจากนี้มักพบ พืชอิงอาศัย จำพวกเฟิน และมอส และอาจพบเห็ดราชนิดต่างๆด้วย

ป่าชายเลน


ป่าชายเลน หรือ ป่าโกงกาง (อังกฤษ: mangrove forest หรือ intertidal forest) คือเป็นกลุ่มสังคมพืชซึ่งขึ้นอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุดและน้ำขึ้นสูงสุด บริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำหรืออ่าว อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง สังคมพืชที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิดหลายตระกูล และเป็นพวกที่มี ใบเขียวตลอดปี (evergreen species) ซึ่งมีลักษณะทางสรีรวิทยาและความต้องการสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้สกุลโกงกาง (Rhizophora) เป็นไม้สำคัญและมีไม้ตระกูลอื่นบ้าง

ได้มีการค้นพบป่าประเภทรนี้มาตั้งแต่ เมื่อโคลัมบัส (Columbus) เดินทางมาบริเวณชายฝั่งตะวันตกของเกาะคิวบา ต่อมา Sir Walter Raleigh (1494) ได้พบป่าชนิดเดียวกันนี้อยู่บริเวณปากแม่น้ำในประเทศตรินิแดด (Trinidad) และ กิอานา (Guiana)

คำว่า "mangrove" เป็นคำจากภาษาโปรตุเกสคำว่า "mangue" ซึ่งหมายถึงกลุ่มสังคมพืชที่ขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเลดินเลน และใช้กันแพร่หลายในประเทศแถบลาตินอเมริกา ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็ใช้เรียกตามภาษาของตัวเอง เช่น ประเทศมาเลเซียใช้คำว่า "manggi-manggi" ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเรียกป่าชายเลนว่า "manglier" ส่วนภาษาไทยเรียกป่าชนิดนี้ว่า "ป่าชายเลน" หรือ "ป่าโกงกาง"

บริเวณที่พบป่าชายเลนโดยทั่วไป คือตามชายฝั่ง ทะเล บริเวณปากน้ำ อ่าว ทะเลสาบ และเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลท่วมถึงของประเทศ ในแถบโซนร้อน (tropical region) ส่วนเขตเหนือหรือใต้โซนร้อน (sub-tropical region) จะพบป่าชายเลนอยู่บ้างแต่ไม่มาก โดยพื้นที่ที่พบป่าชายเลนเช่น ในกลุ่มประเทศของภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และ ไทย เป็นต้น

สำหรับพื้นที่ป่าชายเลนของโลกทั้งหมดมีประมาณ 113,428,089 ไร่ อยู่ใน เขตร้อน 3 เขตใหญ่ คือ เขตร้อนแถบเอเชียพื้นที่ประมาณ 52,559,339 ไร่ หรือร้อยละ 46.4 ของป่าชายเลนทั้งหมด โดยประเทศอินโดนีเซียมีป่าชายเลนมากที่สุด ถึง 26,568,818 ไร่ สำหรับในเขตร้อนอเมริกามีพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดประมาณ 39,606,250 ไร่ หรือร้อยละ 34.9 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด ในเขตร้อนอเมริกาประเทศที่มีพื้นที่ โดยประเทศบราซิล มีพื้นที่ป่าชายเลนประมาณ 15,625,000 ไร่ รองจากอินโดนีเซีย ส่วนเขตร้อนอัฟริกามีพื้นที่ ป่าชายเลนน้อยที่สุดประมาณ 21,262,500 ไร่ หรือร้อยละ 18.7 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด โดยประเทศไนจีเรีย มีพื้นที่ป่าชายเลน 6,062,500 ไร่ มากที่สุดในโซนนี้

วันตรุษจีน


ตรุษจีน หรือ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (ตัวเต็ม: 春節, ตัวย่อ: 春节, พินอิน: Chūnjíe ชุนเจี๋ย) หรือ ขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ (ตัวเต็ม: 農曆新年, ตัวย่อ: 农历新年, พินอิน: Nónglì Xīnnián หนงลี่ ซินเหนียน) และยังรู้จักกันในนาม วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 ของปีตามจันทรคติ (正月 พินอิน: zhèng yuè เจิ้งเยฺว่) และสิ้นสุดในวันที่ 15 ซึ่งจะเป็นเทศกาลโคมไฟ (ตัวเต็ม: 元宵節, ตัวย่อ: 元宵节, พินอิน: yuán xiāo jié หยวนเซียวเจี๋ย)

คืนก่อนวันตรุษจีน ตามภาษาจีนกลางเรียกว่า 除夕 (พินอิน: Chúxì ฉูซี่) หมายถึงการผลัดเปลี่ยนยามค่ำคืน

ในวันตรุษจีนจะมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนเชื้อสายจีนขนาดใหญ่ และตรุษจีนถือเป็นวันหยุดที่สำคัญมากช่วงหนึ่งของชาวจีน และยังแผ่อิทธิพลไปถึงการฉลองปีใหม่ของชนชาติที่อยู่รายรอบ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เมี่ยน ม้ง มองโกเลีย เวียดนาม ทิเบต เนปาล และภูฐาน สำหรับชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างถิ่นกันก็จะมีประเพณีเฉลิมฉลองต่างกันไป ในประเทศไทย
ตรุษจีนในประเทศไทยชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว

วันจ่าย คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ (地主爺 / 地主爷 ตี่จู้เอี๊ย) ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว

ตอนเช้ามืดจะไหว้ "ป้ายเล่าเอี๊ย" (拜老爺 / 拜老爷) เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์สามอย่าง (ซาแซ ซำเช้ง) ได้แก่ หมู เป็ด ไก่ หรือเพิ่มตับ ปลา เป็นเนื้อสัตว์ห้าอย่าง (โหงวแซ) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
ตอนสาย จะไหว้ "ป้ายแป๋บ้อ" (拜父母) คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เ
กินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว


ตอนบ่าย จะไหว้ "ป้ายฮ่อเฮียตี๋" (拜好兄弟) เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเพื่อเป็นสิริมงคล
วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่หนึ่ง (初一 ชิวอิก) ของเดือนที่หนึ่งของปี วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันคือ "ป้ายเจีย" เป็นการไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะส้มออกเสียงภาษาแต้จิ๋วว่า "กิก" หรือ ภาษาฮกเกี้ยน "ก้าม"(橘) ซึ่งไปพ้องกับคำว่าความสุขหรือโชคลาภ (吉) [1] เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำความสุขหรือโชคลาภไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น
[แก้] ตรุษจีนในภูเก็ตชาวภูเก็ตเชื้อสายจีน โดยส่วนมากเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนบ้าบ๋า จะมีระยะวันตรุษจีนทั้งสิ้นรวม 9 วันนับตั้งแต่ขึ้นปีใหม่จะต่างกับชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งวันตรุษจีนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 7 โดยวันตรุษจีนของชาวภูเก็ตจะสิ้นสุดลงเมื่อหลังเที่ยงคืนของวันที่ 9 หรือ วันป่ายทีก้องไหว้เทวดา และ จะถือประเพณีปฏิบัติไหว้อยู่ 6 วัน ได้แก่ก่อนตรุษจีนไหว้ 2 วัน และ หลังตรุษจีนไหว้ 4 วัน คือ

วันส่งเทพเจ้าเตาไฟขึ้นสวรรค์
ในวันที่ 24 ค่ำ เดือน 12 จ้าวฮุ่นกงเสด็จขึ้นสวรรค์เพื่อเข้าเฝ้าหยกอ๋องซ่งเต้ เพื่อกราบทูลเรื่องราวต่างๆภายในหนึ่งปีของเจ้าบ้านทั้งดีและชั่วจามบัญชีที่ได้จดบันทึก
ภาคเช้า เจ้าบ้านเตรียมผลไม้ 3 -7 อย่าง เพื่อสักการะเทพเจ้าทั้งสามแห่งโดยเฉพาะหน้าเตาไฟในครัวเรือนจ้าวฮุ่นกง
วันไหว้บรรพชน
คือวันสุดท้ายของเดือน 12 บางตำนานกล่าวว่าเทพเจ้าทั้งปวงจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ในช่วง วันที่ 28 -30 จะจัดเครื่องเซ่นไหว้ตามจุดดังนี่
ทีก้อง หรือ หยกอ๋องซ่งเต้ และเทพเจ้าทั้งบ้าน บ้านของคนจีนฮกเกี้ยนภูเก็ต จะมีป้ายและที่ปักธูปเทียนอยู่ทางซ้ายมือของหน้าบ้าน
เทพเจ้าประจำบ้าน หรือ เทพเจ้าประจำตระกูล ส่วนใหญ่จะอยู่ตรงห้องโถ่งของหน้าบ้าน เป็นเทพเจ้าประจำบ้านที่นับถือกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
บรรพชน จ้อกง จ้อม่า จ้อกงโป๋ บรพพบุรุษที่ล่วงลับ
จ้าวอ๋อง หรือ จ้าวฮุ่นก้อง คือเ เทพเจ้าครัวหรือ เทพเจ้าเตาไฟ
โฮ่เฮียตี่ คือ ไหว้บรรดาวิญญาณผีไม่มีญาติ
หมึงสิน คือ ไหว้เทพเจ้าประจำประตูบ้าน หรือ ทวารบาล บ้าน
ช่วงเวลาจะเซ่นไหว้ มี 3 เวลาคือ
เวลาเช้า ประมาณ 7 - 8 นาฬิกา ไหว้ทีก้อง เทพเจ้าบ้าน และจ้าวฮุ่นก้อง (ป่ายสินเทียนก๊วน/拜神天官)
เวลา ประมาณ 11 นาฬิกา ถึง ก่อนเทียงวัน ไหว้บรรพบุรุษ จ้อกง จ้อม่า และบรรพชน (ป่ายจ้อกง/拜祖公)
เวลา ประมาณ 15 -16 นาฬิกา ไหว้โฮ่เฮียตี่ บรรดาผีไม่มีญาติ (ป่ายโฮ่เฮียตี่/拜好兄弟)
เครื่องเซ่นไหว้ตามแบบของชาวจีนฮกเกี้ยน
เวลาเช้าไหว้ทั้ง 3 แห่งดั้งนี้
ทีก้อง
หมูต้ม 1 ชิ้น
หมี่เหลืองดิบ
ปูต้ม
กุ้งต้ม
หมึกแห้ง
สุราขาวจีน
เทียนก้องกิม(กระดาษทองฮกเกี้ยนแผ่นใหญ่)
เทพเจ้าประจำบ้าน หรือ ประจำตระกูล
หัวหมู 1 หัว
หมี่เหลืองดิบ
ปูต้ม
กุ้งต้ม
หมึกแห้ง
สุราขาวจีน
ไก่ต้มมีหัว
เทพเจ้าเตาไฟ หรือ จ้าวฮุ่นก้อง
หมี่เหลืองดิบ
ปูต้ม
กุ้งต้ม
หมึกแห้ง
สุราขาวจีน
อาหารที่ไหว้เสร็จจากช่วงเช้าทุกชนิดนำไปประกอบอาหารเพื่อนไหว้ในช่วง บ่าย และเย็นต่อไป
เวลาบ่ายไหว้ จ้อกง จ้อม่า บรรพชน
ผลไม้ 3 - 7 ชนิด
องุ่น (ภาษาฮกเกี้ยน โป่โต๋)
แอปเปิล (ภาษาฮกเกี้ยน เป่งโก้)
สับปะรด (ภาษาฮกเกี้ยน อ่องหลาย)
ส้ม (ภาษาฮกเกี้ยน ก้าม)
เงาะ (ภาษาฮกเกี้ยน มอต่าน)
ลำไย (ภาษาฮกเกี้ยน เหล้งเต๋)
ขนมหวาน
ตี่โก้ย (ขนมเข่ง )
ฮวดโก้ย (ขนมถ้วยฟู)
อั้งกู้โก้ย (ขนมเต่า)
บีโก้ (ข้าวเหนียวดำกวน)
แป๊ะทงโก๊
ก่าวเตี่ยนโก้ย (ขนมชั้น)
อาหารคาว
ผัดบังกวน (ผัดมันแกว)
โอต้าว (หอยทอดฮกเกี้ยน หารับประทานได้ที่ภูเก็ต)
ผัดบีฮุยะ (ข้าวเหนียวผัดกับเลือดหมูและกุ้ยช่าย)
ปลาทอดมีหัวมีหาง 1 ตัว
ต้าวอิ่วบ๊ะ (หมูผัดซีอิ๋ว)
ทึ่งบะกู๊ดเกี่ยมฉ่าย (ต้มจืดผักกาดดองซี่โคร่งหมู)
แกงเผ็ดไก้ใส่มันฝรั่ง
ผัดผัก ประกอบด้วย ซวนน่า กะหล่ำปลี ก่าเป๊ก
โปเปี๊ยะสด
โลบะ พร้อมน้ำจิ้ม
ซำเซ่ง;หง่อเซ่ง (เนื้อสัตว์ 3-5 ชนิด)
ข้าวสวย 5 ถ้วย พร้อมตะเกียบ
เต๋ (น้ำชา) 5 จอก
จุ๊ย (น้ำเปล่า) 1 แก้ว
สุราขาว 5 จอก
เวลาเย็นไหว้ โฮ่เฮียตี่

องุ่น (ภาษาฮกเกี้ยน โป่โต๋)
แอปเปิล (ภาษาฮกเกี้ยน เป่งโก้)
สับปะรด (ภาษาฮกเกี้ยน อ่องหลาย)
ของไหว้จากช่วงเช้าแล้วแต่เจ้าบ้านจะนำไปทำเป็นอะไร
ไหว้วันขึ้นปีใหม่
วันที่ 1 ค่ำ เดือน 1 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ช่วงเช้าเรียกว่า ป้ายเฉ่งเต๋ ด้วยการนำผลไม่มาไหว้เทพเจ้าประจำบ้าน
วันรับเสด็จจ้าวฮุ่นก้องเทพเจ้าเตาไฟ
ในที่ 4 ค่ำ เดือน 1 จะทำการ เชี้ยสิน เชิญพระจ้าวฮุ่นก้องกลับมาอยู่ยังบ้านในครัวเช่นเดิม โดยไหว้ตอนเช้า ของเซ่นไหว้ดังนี่
ผลไม้
เต่เหลี่ยว (จันอับ ของฮกเกี้ยนกับแต้จิ๋วจะมีเครื่องประกอบไม่เหมือนกัน)
โอต้าว (เพื่อเป็นกาวติดเงินติดทองที่จ้าวฮุ่นก้องนำมาให้จากสวรรค์)
น้ำชา
กระดาษไหว้เจ้า
วันป้ายจ่ายสินเอี๋ย หรือ วันไหว้เทพเจ้าไฉสิ่งเอี้ย
วันที่ 5 ค่ำ เดือน 1 เทพเจ้าแห่งโชคลาภจะเสด็จจากสวรรค์ตามฤกษ์ยามของแต่ละปี เพื่อลงมาประทานโชคลาภ
วันป่ายทีก้องแซ (拜天公) ไหว้เทวดา วันประสูติหยกอ๋องซ่งเต้
วันไหว้เทวดา ซึ่งเป็นวันที่สืบเนื่องต่อจากวันตรุษจีนเพียง 8 วัน หรือที่ชาวจีนเรียกว่า เก้าโหง็ย-โช่ยเก้า ถี่ก้งแซ้ซ่ง ซึ่งชาวจีนถือว่าเป็นวันเกิดของ หยกอ๋องซ่งเต้ เทพผู้เป็นใหญ่บนสรวงสวรรค์ที่ชาวจีนให้ความเคารพบูชาซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้ กัน โดยในวันไหว้เทวดาของชาวจีนจะนิยมถือปฏิบัติกันในวันขึ้น 9 ค่ำ และสิ่งที่ขาดมิได้ในวันนั้น คือเครื่องเซ่นไหว้ที่นำมาประกอบในพิธีบูชาเทวดา หยกอ๋องซ่งเต้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ หง่อซิ่ว หรือ เครื่องน้ำตาลทำเป็นรูป 5 ชนิด และ ต้นอ้อย มีความเชื่อว่ามีครั้งหนึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงชาวฮกเกี้ยนทุกรุกรานจากญี่ปุ่นจึงพากันไปหลบแอบในดงอ้อย จนญี่ปุ่นกลับไป และตรงกับวันป่ายทีก้องพอดีชาวฮกเกี้ยนเลยเชื่อว่าเป็นเพราะหยกอ๋องซ่งเต้ช่วยชีวิตเอาไหว้จึงนำอ้อยมาไหว้ด้วย
[แก้] ประเพณีปฏิบัติสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของตรุษจีน คือ อั่งเปา (ซองแดง) คือ ซองใส่เงินที่ผู้ใหญ่แล้วจะมอบให้ผู้น้อย และมีการแลกเปลี่ยนกันเอง หรือ หรือจะใช้คำว่า แต๊ะเอีย (ผูกเอว) ที่มาคือในสมัยก่อน เหรียญจะมีรูตรงกลาง ผู้ใหญ่จะร้อยด้วยเชือกสีแดงเป็นพวงๆ และนำมามอบให้เด็ก ๆ ซึ่งจะนำมาผูกเก็บไว้ที่เอว
[แก้] คำอวยพรในตรุษจีน ชาวจีนจะกล่าวคำ ห่ออ่วย หรือคำอวยพรภาษาจีนให้กัน หรือมีการติดห่ออ่วยไว้ตามสถานที่ต่างๆ คำที่นิยมใช้กัน ได้แก่

新年快樂 / 新年快乐 (จีนกลาง: ซินเหนียนไคว่เล่อ) นิยมใช้ในประเทศจีน
過年好 / 过年好 (จีนกลาง: กั้วเหนียนห่าว) ใช้โดยชนพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศจีน วลีนี้ยังหมายถึงวันที่หนึ่งถึงวันที่ห้าของปีใหม่ด้วย
新正如意 新年發財 / 新正如意 新年发财 (แต้จิ๋ว: ซิงเจี่ยยู้อี่ ซิงนี้หวกไช้ จีนกลาง: ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย ฮกเกี้ยน:ซินเจี่ยหยู่อี่ ซินเหนียนฮวดจ๋าย) แปลว่า ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่
恭喜發財 / 恭喜发财 (จีนกลาง: กงฉี่ฟาฉาย ฮกเกี้ยน: หย่งฮี้ฮวดจ๋าย )
大吉大利 (ฮกเกี้ยน:ตั่วเก็ตตั่วลี่ ) แปลว่า ความมงคลอันยิ่งใหญ่ หรือ ค่าขายได้กำไร
招财进宝 (ฮกเกี้ยน:จ่ายหงวนก้องกิม ) แปลว่า เงินทองไหลมา
金玉满堂 (ฮกเกี้ยน:กิ้มหยกมมั่วต๋อง ) แปลว่า ทองหยกเต็มบ้าน
万事如意 (ฮกเกี้ยน:บ่านสู่หยู่อี่ ) แปลว่า ทุกเรื่องสมปรารถนา
福壽萬萬年 / 福寿万万年 (ฮกเกี้ยน:ฮกซิ่วบันบั่นนี่ จีนกลาง: ฝูเชี่ยวหวันวันเลี่ยน แปลว่า อายุยืนพันๆปี )
家好運氣 / 家好运气(ฮกเกี้ยน:เก่โฮ่อุ๊นคิ จีนกลาง:จาร์ห่าวเยียนชี แปลว่า โชคดีเข้าบ้าน )
เกียโฮ่ซินนี้ ซินนี้ตั้วถั่น แปลว่า สวัสดีปีใหม่ ขอให้ร่ำรวยๆ อีกฝ่ายก็จะกล่าวตอบว่า ตั่งตังยู่อี่ แปลว่า ขอให้สุขสมหวังเช่นกัน
大赚钱 (ฮกเกี้ยน:ตั๊วถั่นฉี่) แปลว่า ร่ำรวยมหาศาล
เป๋งอิ่วเตียวคิ ในภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า เพื่อนมิตรมีสุข
ได๋โฮ่ไซ่ ในภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า ความดีเข้ามา

ยาบ้า


ยาบ้า เป็นยาเสพติด สารสังเคราะห์มีแอมเฟตามีนเป็นส่วนประกอบ มีชื่อเรียก เช่น ยาขยัน ยาแก้ง่วง ยาโด๊ป นิยมเสพโดยรับประทานโดยตรงหรือผสมในอาหาร หรือเครื่องดื่ม หรือเสพโดยนำยาบ้ามาบดแล้วนำไปลนไฟแล้วสูดดมเป็นไอระเหยเข้าสู่ร่างกาย จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติลักษณะทางกายภาพยาบ้า มีลักษณะเป็นยาเม็ดกลมแบนขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลลิเมตร ความหนาประมาณ 3 มิลลิเมตร น้ำหนักเม็ดยาประมาณ 80-100 มิลลิกรัม มีสีต่างๆ กัน เช่น สีส้ม สีน้ำตาล สีม่วง สีชมพู สีเทา สีเหลือง และสีเขียว เป็นต้น มีเครื่องหมายการค้า เป็นสัญลักษณ์หลายแบบ เช่น รูปหัวม้าและอักษร LONDON มีสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนเม็ดยา เช่น ฬ , ฬ99 , M , PG ,WY สัญลักษณ์รูปดาว , รูปพระจันทร์เสี้ยว ,99 หรืออาจเป็นลักษณะของเส้นแบ่งครึ่งเม็ด ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้อาจปรากฏบนเม็ดยาด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน หรืออาจเป็นเม็ดเรียบทั้งสองด้าน รูปร่างของยาบ้าอาจพบในลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ กลมแบน รูปเหลี่ยมรูปหัวใจ หรือแคปซูล

ยาบ้า เป็นยากลุ่มแอมเฟทตามีน(Amphetamines) ซึ่งมีหลายตัว เช่น Dextroamphetamine, Methamphetamine เรียกกันแต่เดิมว่า “ยาม้า” ยานี้เคยใช้เป็นยารักษาโรคอยู่บ้างในอดีต สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคผลอยหลับโดยไม่รู้ตัว (Narcolepsy) เด็กที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ขาดความตั้งใจและสมาธิในการเรียน (Attention Deficit Disorder) และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ปัจจุบันนิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย

[แก้] ประวัติยาบ้ามีประวัติที่มายาวนาน โดยสังเคราะห์ได้กว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองใช้กระตุ้นความกล้าหาญและความ อดทนของทหารทั้งสองฝ่าย โดยประมาณกันว่ามีการใช้ยาบ้ากว่า 72 ล้านเม็ดระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงครามการใช้ยาบ้าจึงเริ่มแพร่ขยายออกไปสู่สังคม สาเหตุที่เคยเรียกว่า ยาม้า สันนิษฐานได้หลายแง่ บ้างว่าคงมาจากการที่เคยนำไปใช้กระตุ้นม้าแข่งให้วิ่งเร็ว และอดทน บ้างว่าเนื่องจากทำให้ผู้ใช้ยาคึกคะนอง เหมือนม้า อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนมาเรียกเป็นยาบ้า ก็เพื่อจะเน้นความเป็นพิษของยา ซึ่งเมื่อใช้มากเกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันนานๆ จะทำ ให้ผู้ใช้ยามีลักษณะเหมือนคนบ้าและเนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์สารนี้ไม่ ซับซ้อน ปัจจุบันจึงมีการลักลอบสังเคราะห์ กันอยู่ในประเทศไทย

ในระยะแรก ยาบ้ามีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า ยาขยัน เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเรียนที่ต้องดูหนังสือสอบดึกๆ ต่อมาเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน คนขับรถบรรทุก มีชื่อเรียกว่า ยาม้า เหตุที่ได้ชื่อนี้มาจากเครื่องหมายการค้าของบริษัท Wellcome ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ส่งยาชนิดนี้มาขายในประเทศไทย

ในสมัยหนึ่งนักเคมี ทดลองสังเคราะห์ สารที่มีโครงสร้างคล้ายยาบ้ามากมายหลายตัว โดยหวังว่าคงจะมีสักตัวที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่กลับปรากฏว่าสารเหล่านั้น มักไม่มีประโยชน์แต่กลับมีผลเสียต่อจิตอารมณ์แทบทุกตัว สารอนุพันธุ์เหล่านี้ปัจจุบันมีการ ลักลอบสังเคราะห์กันในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และเรียกกันรวมๆ ว่า Designer Drugs ซึ่งหมายถึงสารที่พยายามดัดแปลงสูตรโครงสร้าง ทางเคมีจากสารเดิม ที่ถูกควบคุมโดยกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อใช้ทดแทนสารเดิมและหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย

ยาบ้ามีสารประกอบหลักในกลุ่มแอมเฟตามีน (Amphetamine) ซึ่งเป็นสารที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาในปี ค.ศ.1887 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ เอเดเลียโน (Edeleno) ในรูปของแอมเฟตามีนซัลเฟต (Amphetamine Sulfate) ต่อมาในปี ค.ศ.1888 นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นก็สามารถสังเคราะห์อนุพันธ์ของแอมเฟตามีนได้อีกตัวหนึ่งคือ เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางได้รุนแรงกว่า แอมเฟตามีน และยาบ้าที่ระบาดในประเทศไทยขณะนี้ก็มีสารประกอบหลักเป็นเมทแอมเฟตามีนนี้เอง

ปัจจุบัน มีชื่อเรียกว่า ยาบ้า ตามข้อเสนอของนายเสนาะ เทียนทอง ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อ พ.ศ. 2539 ซึ่งให้นโยบายว่า ชื่อยาม้า ทำให้ผู้เสพเข้าใจว่า เป็นยาที่กินแล้วให้กำลังวังชา มีเรี่ยวแรง คึกคักเหมือนม้า ควรจะเปลี่ยนไปเรียกว่า ยาบ้า เพื่อให้ผู้เสพตระหนักถึงโทษของยาที่ทำให้ผู้เสพไม่สามารถควบคุมสติได้ เกิดความรังเกียจ ทำให้ไม่อยากเสพ และจะช่วยลดจำนวนผู้เสพยาได้ [1] และเปลี่ยนประเภทจากสิ่งเสพติดประเภท 3 ซึ่งจำหน่ายได้ในร้านขายยา เป็นสิ่งเสพติดประเภท 1 ซึ่งห้ามจำหน่าย และมีบทลงโทษต่อผู้ขายรุนแรง เพื่อให้ผู้ขายกลัวต่อบทลงโทษ แต่กลับทำให้ยาบ้ามีราคาจำหน่ายสูงขึ้น จนสร้างผลกำไรต่อผู้ขายเป็นอย่างมาก และมีผู้ผลิตและจำหน่ายมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมให้เสพติดง่ายขึ้น มีฤทธิ์รุนแรงขึ้น จนกลายเป็นปัญหาสังคมในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน แถบชายแดนไทยกัมพูชาจะรับซื้อยาบ้าจากทางว้าแดงส่งผ่านมาทางประเทศลาวแล้วนำยาบ้ามาบดแล้วผสมกับแป้งทำยา (Drug Powder) แล้วนำมาอัดขึ้นรูปใหม่เพื่อให้มีจำนวนเม็ดยาเพิ่มขึ้น ตัวสารเสพติดต่อเม็ดจะลดลงเพื่อเพิ่มกำไร

[แก้] การขนส่งในประเทศผู้ผลิต (กลุ่มว้าแดง) จะห้ามประชาชนของเขาเสพยาเสพติดที่เขาผลิตโดยเด็ดขาด ถ้าทางผู้ผลิตทราบจะลงโทษสถานหนักถึงขั้นยิงทิ้งเลยทีเดียว การขนส่งยาเสพติดจากประเทศผู้ผลิตจะส่งกัน 2 ทางคือ

1.ทางบก โดยผู้ผลิตจะนำยาเสพติดใส่หลังสัตว์ (ลา) หรือให้คนงานใส่เป้พร้อมอาวุธบรรทุกมาตามแนวชายแดนฝั่งตะวันตกของประเทศไทย หรืออ้อมสามเหลี่ยมทองคำผ่านเข้าประเทศลาวสู่ประเทศไทย หรือผ่านลาวลงมากัมพูชาเข้าประเทศไทย
2.ทางน้ำ ผู้ผลิตจะนำยาเสพติดใส่เรือประมงทางฝั่งทะเลอันดามาลงมาทางใต้ของไทย
[แก้] การออกฤทธิ์ยาบ้า เป็นยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย ในระยะแรกจะออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ใจสั่น ประสาทตึงเครียด แต่เมื่อหมดฤทธิ์ยาจะรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ประสาทล้าทำให้การตัดสินใจช้าและผิดพลาด เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้สมองเสื่อม เกิดอาการประสาทหลอน เห็นภาพลวงตา หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง เสียสติ เป็นบ้า อาจทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้ หรือในกรณีที่ได้รับยาในปริมาณมาก จะไปกดประสาท และระบบการหายใจทำให้หมดสติ และถึงแก่ชีวิตได้

[แก้] โทษทางกฎหมายข้อหา บทลงโทษ
ผลิต นำเข้า หรือส่งออก ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หากเป็นการกระทำเพื่อ
จำหน่าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต ( กรณีคำนวณเป็น สารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัม ขึ้นไป ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อ จำหน่าย)

จำหน่ายหรือครอบครองเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิตและ
ปรับตั้งแต่ 5 หมื่นบาทถึง 5 แสนบาท หากมีสารบริสุทธิ์ ไม่เกิน 100 กรัม แต่ถ้าเกิน 100 กรัม ต้องระวางโทษจำคุก ตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต

ครอบครอง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัม ต้องระวางโทษจำคุก 1 ถึง 10 ปี และปรับ 1 หมื่นบาท ถึง 1 แสนบาท (คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 20 กรัมขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย)
เสพ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี และปรับ
ตั้งแต่ 5 พันบาท ถึง 1 แสนบาท แต่ปัจจุบันนี้ ผู้เสพจะได้รับการบำบัดจาก โรงพยาบาลธัญญารักษ์ เป็นเวลา 3 เดือน

ใช้อุบาย หลอกลวง ขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายฯให้ผู้อื่นเสพ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท และถ้าเป็นการกระทำต่อหญิงหรือบุคคลซึ่ง ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องระวางโทษประหารชีวิต ถ้ากระทำโดยมีอาวุธหรือร่วมกัน 2 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุก 4 ปี ถึง 30 ปี และปรับตั้งแต่ 4 หมื่นบาท ถึง 3 แสนบาท
ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเสพ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1 หมื่นบาท ถึง 5 หมื่นบาท

[แก้] การสังเกตผู้ติดยาวิธีการสังเกตผู้ติดยาแบบทั่วๆไป ประเภทนี้มีหลายวิธี โดยเริ่มต้นจากพฤติกรรมทั่วๆไปเช่น การไม่พักผ่อน นอนดึกเป็นนิสัยแต่ตื่นตอนเช้าตรู่ ไม่ค่อยออกสังคม มีโลกส่วนตัวสูง ชอบอยู่ในสถานที่มิดชิด ปิดห้องนั่งเล่นเกมส์คนเดียว สูบบุหรี่จัด หรือชอบงัดแงะเครื่องจักรกลออกมาทำความสะอาดหรือซ่อมแซม กัดฟันกรามหรือเอามือม้วนที่ปลายผม หรือบีบสิว แต่งหน้าแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ เวลาเรียกทานข้าวมักจะไม่มาทานด้วยเพราะยาชนิดนี้จะช่วยให้ผู้เสพไม่หิวข้าว

ให้สังเกตตามซอกตู้ลิ้นชักว่ามีอุปกรณ์การเสพซ่อนอยู่หรือไม่ เช่นหลอด เวลาซักผ้าให้ตรวจดูในกระเป๋าเพื่อดูว่ามีเศษฟรอยซองบุหรี่หรือไม่ (มีลักษณะเป็นกระดาษอะลูมิเนียมบางของซองบุหรี่)

ถ้าบ้านท่านมีแผ่นฝ้าเพดานชนิดเปิดได้ให้สังเกตว่าฝ้าเพดานที่บ้านท่านปิดสนิทดีหรือไม่ เพราะผู้เสพยามักนิยมนำอุปกรณ์การเสพไปซ่อนไว้ที่นั่น ถ้าสงสัยให้เปิดดู ส่วนใหญ่ถ้าแผ่นฝ้าเพดานหากถูกเปิดบ่อยมักจะไม่สนิท รอยมือดำๆติดอยู่ที่แผ่นฝ้าเพดาน

ให้สังเกตกลุ่มเพื่อนที่มาหา เด็กกลุ่มติดยามักร่วมทำกิจกรรมที่ดูเป็นมิตรเสมอ เช่นซ้อมดนตรี วาดภาพ เปิดติว แต่ความจริงแล้วพวกเขาหาโอกาสมารวมตัวกันเสพยา ให้สังเกตว่ากิจกรรมที่เขาทำอยู่นั้นเนิ่นนานกว่าปกติหรือไม่เช่น ซ้อมดนตรีต่อวันๆ ละ 10 ชั่วโมง เล่นเกมส์กันนานหลายชั่วโมง ไม่กินข้าวกินปลา ถือว่าไม่ปกติ

ถังขยะคือแหล่งข้อมูลที่สำคัญของผู้เสพ ให้สังเกตตามถังขยะหน้าบ้านเวลาบุตรหลานท่านไปทิ้งขยะ (มักทิ้งเวลาเช้าตรู่) ผู้เสพจะนำอุปกรณ์ต่างๆเหล่านั้นไปทิ้งหรือทิ้งลงโถส้วม

สังเกตผู้ติดยาทางกายภาพของผู้เสพ ให้สังเกตว่าคนติดยาบ้าจะมีหน้าตาที่เรียวเล็ก แขนและขาผ่อมรีบ ใบหน้าดำคล้ำ ขอบตาจะดำ เส้นผมแข็งหรือผมล่วง ร่างกายจะผอมผิดปกติ ไม่ชอบอยู่เฉยๆ มีกลิ่นตัวแรง ลมหายใจจะเหม็น ถ้าไม่แน่ใจว่าบุตรหลานของท่านติดยาหรือไม่ให้ท่านไม่จำเป็นต้องตรวจด้วยยา ให้ใช้วิธีการให้คนๆนั้นยื่นมือยื่นแขนทั้งสองแขนเหยียดตรงมาข้างหน้า แล้วกางมือให้ตั้งฉากกับแขนแล้วกางนิ้วออก หากมีการสั่นผิดปกติ มีแนวโน้มว่าผู้นั้นใช้ยาเสพติด

[แก้] การบำบัดผู้ติดยาบ้าการบำบัดรักษาผู้ติดยาบ้าไม่ใช่การทำให้ร่างกายปลอดจากยาเสพติด แต่เป็นการบำบัดรักษาความผิดปกติของร่างกายจากผลของยาเสพติด คือ ความผิดปกติของระบบประสาท (คือผู้เสพจะรู้สึกว่าร่างกายตื่นตัวและมีความต้องการทำในสิ่งที่คิดหรือสิ่งที่ถูกสั่งจากสมอง ) โดยเฉพาะสมองส่วนกลาง (Central nervous system) และสารสื่อเคมีสมอง (Neurotransmitter) สมองของผู้ติดยาเสพติดต้องการฤทธิ์ของยาเสพติดที่จะกระตุ้นให้ระบบสมองทำงานอย่างปกติ หากช่วงใดขาดยาเสพติดไปกระตุ้นก็จะเกิดอาการผิดปกติขึ้น

อาการผิดปกติของร่างกายที่เห็นทันทีที่หยุดยาบ้า คือ อาการถอนพิษยา ซึ่งจะมีอาการหิวบ่อย กินจุ กระวนกระวาย อ่อนเพลียและมีความรู้สึกจิตใจหดหู่ บางรายมีอาการถึงขนาดอยากฆ่าตัวตาย ในระยะนี้ ผู้ติดยาบ้าจะอยากนอนและนอนเป็นเวลานานในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก

ต่อจากอาการถอนพิษยา ผู้ติดยาบ้าจะมีอาการอยากยามาก ในช่วงนี้ผู้ติดยาเสพติดจะมีความ รู้สึกไม่เป็นสุข ไม่มีกำลังทั้งทางร่างกายและจิตใจ อยากที่จะใช้ยาเพื่อกระตุ้นร่างกายและจิตใจให้เกิดความกระชุ่มกระชวยกลับมาใหม่

การบำบัดรักษายาบ้าในช่วงแรก เป็นการบำบัดรักษาเพื่อลดอาการถอนพิษยาจึงเป็นการให้ยาตามอาการ เพื่อลดความเครียด อาการซึมเศร้าหรืออาการทางจิตอื่นๆ เช่น อาการหวาดระแวง เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดสามารถประคับประคองตนเองผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ หลังจากหยุดยาบ้าประมาณ 3-4 สัปดาห์ อาการถอนพิษยาและอาการอยากยาจะลดน้อยลง

แม้ว่าผู้ติดยาบ้าที่ผ่านการบำบัดรักษาขั้นถอนพิษยาแล้ว จะมีสุขภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้น ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง แต่ความผิดปกติของระบบสมอง พฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้แก้ไข จำเป็นที่จะต้องเข้าสู่ขั้นตอน ฟื้นฟูสมรรถภาพ ต่อไป เพื่อให้ผู้ติดยาบ้าหายขาดไม่หวนกลับไปใช้ยาเสพติดอีก

การที่ต้องผ่านขั้นตอนฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อฟื้นฟูให้สมองของผู้ติดยาเสพติดกลับมาเป็นสมองของคนปกติ เนื่องจากระบบประสาทของคนติดยาต้องการเสพติดเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้มีสารเคมีสมองพอเพียงที่จะทำให้เกิดความสุขไม่วิตกกังวล หากขาดการกระตุ้นจากยาเสพติด สมองของผู้ติดยาเสพติดจะมีปฏิกิริยาตรงกันข้าม คือผู้ติดยาจะหงุดหงิดไม่เป็นสุข มีความเครียด วิตกกังวลและมีความอยากที่จะกลับไปเสพ ยาเสพติดอีก ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรให้ส่วนต่างของสมองได้ปรับตัวกลับเป็นปกติในช่วงที่ระบบสมองปรับตัวเป็นปกติ ผู้ติดยาเสพติดต้องไม่หวนกลับไปเสพยาเสพติดอีก

นอกจากระบบสมองแล้ว พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของผู้ติดยาต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ในกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพมีหลายวิธี การที่จะช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด เช่น การเข้าค่ายฟื้นฟูฯ การให้ คำปรึกษา การทำจิตบำบัด และชุมชนบำบัด เป็นต้น เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดเข้าใจถึงปัญหาของตนเองที่นำไปสู่การเสพยาเสพติด ปรับสภาพครอบครัวให้สมาชิกในครอบครัวได้เข้าใจปัญหาและช่วยกันดูแลประคับประคองผู้ติดยาเสพติด ปรับสภาพกลุ่มเพื่อนให้ห่างไกลจากเพื่อนที่จะมาชักชวนให้เสพยาเสพติด สร้างความมั่นคงทางจิตใจผ่านทางผู้เกี่ยวข้องหรือกลุ่มที่เลิกยาแล้ว ให้ผู้ติดยาเสพติดสามารถยืนหยัดแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยไม่หวนกลับไปเสพยาอีก
ดให้โทษ พ.ศ. 2441

เฮโรอีน


เฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี จากปฏิกิริยาระหว่างมอร์ฟีนกับสารเคมีบางชนิด เช่น อาเซติคแอนไฮไดรด์ (Aceticanhydride) หรือ อาเซติลคลอไรด์ (Acetylchloride) หรือเอทิลิดีนไดอาเซเตท (Ethylidinediacetate) โดยนักวิจัยชาวอังกฤษ ชื่อ C.R. Wright ได้ค้นพบวิธีการสังเคราะห์เฮโรอีนจากมอร์ฟีน โดยใช้น้ำยาอาเซติคแอนไฮไดรด์ (Aceticanhydride) บริษัทผลิตยาไบเออร์ (Bayer) ได้นำมาผลิตเป็นยาออกสู่ตลาดโลก ในชื่อทางการค้าว่า "Heroin" และถูกนำมาใช้ทดแทนมอร์ฟีนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่มีการใช้เฮโรอีนในวงการแพทย์มานานถึง 18 ปี จึงทราบถึงอันตราย และผลที่ทำให้เกิดการเสพติดให้โทษที่ร้ายแรง จนปี พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย ระบุให้เฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษ ห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง

หลังจากนั้นต่อมาอีก 35 ปี คือเมื่อปี พ.ศ. 2502 เฮโรอีนจึงได้แพร่ระบาดสู่ประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยจึงออกกฎหมาย ระบุให้เฮโรอีนและมอร์ฟีนเป็นยาเสพติดให้โทษ

เฮโรอีนออกฤทธิ์แรงกว่ามอร์ฟีนประมาณ 4-8 เท่า และออกฤทธิ์แรงกว่าฝิ่น ประมาณ 30-90 เท่า โดยทั่วไปเฮโรอีนจะมีลักษณะเป็นผงสีขาว สีนวล หรือสีครีม มีรสขม ไม่มีกลิ่น และแบ่งได้เป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกับมอร์ฟีน ได้แก่ เฮโรอีนเบส (Heroin base) ซึ่งมีคุณลักษณะเด่น คือ ไม่ละลายน้ำ ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ เกลือของเฮโรอีน (Heroin salt) เช่น เฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ (Heroin hydrochloride)

เฮโรอีนที่แพร่ระบาดในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

เฮโรอีนผสม หรือเรียกว่าเฮโรอีนเบอร์ 3 หรือไอระเหย เป็นเฮโรอีนที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ เนื่องจากมีการผสมสารอื่นเข้าไปด้วย เช่น ผสมสารหนู สตริกนิน ยานอนหลับ กาเฟอีน แป้ง น้ำตาลและอาจผสมสี เช่น สีม่วงอ่อน สีชมพูอ่อน สีน้ำตาล อาจพบในลักษณะเป็นผง เป็นเกล็ด หรืออัดเป็นก้อนเล็ก ๆ มีวิธีการเสพโดยการสูดเอาไอสารเข้าร่างกาย จึงเรียกว่า "ไอระเหย" หรือ "แคป"
เฮโรอีนเบอร์ 4 เป็นเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ที่มีความบริสุทธิ์สูง มีลักษณะเป็นผงละเอียด หรือเป็นเม็ดคล้ายไข่ปลา หรือพบในลักษณะอัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักมีสีขาวหรือสีครีม ไม่มีกลิ่น มีรสขม เป็นที่รู้จัดทั่วไปว่า "ผงขาว" มักเสพโดยนำมาละลายน้ำและฉีดเข้าร่างกาย หรือผสมบุหรี่สูบ
อาการผู้เสพ :

มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดตามข้อ ปวดสันหลัง ปวดบั้นเอว ปวดหัวรุนแรง
มีอาการจุกแน่นในอก คล้ายใจจะขาด อ่อนเพลียอย่างหนัก หมดเรี่ยวแรงมีอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ อึดอัดทุรุนทุราย นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย บางรายมีอาการชักตาตั้ง น้ำลายฟูมปาก ม่านตาดำหดเล็กลง
ใจคอหงุดหงิดฟุ้งซ่าน มึนงง หายใจไม่ออก
ประสาทเสื่อม ความจำเสื่อม
โทษทางร่างกาย :

โทษต่อผิวหนัง เป็นอาการที่ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังเกิดอาการขยายตัว เกิดเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ ขึ้นบริเวณผิวหนังและกระตุ้นสารฮิสตามีน (Histamine) และกระตุ้นต่อมเหงื่อด้วย อาการนี้พบเห็นได้ หลังจากผู้เสพเฮโรอีนใหม่ ๆ จะมีอาการคันใต้ผิวหนังจึงแสดงอาการเกา หรือลูบบริเวณใบหน้า ลำคอ นอกจากนี้ผู้เสพจะมีเหงื่อออกมากกว่าปกติและขนลุก
โทษต่อลำไส้ ทำให้ลำไส้บิดตัวลงผู้เสพจึงมีอาการท้องผูก
กดศูนย์การหายใจ ทำให้หายใจช้ากว่าปกติ ถ้าใช้ในปริมาณมากจะทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
ทำลายฮอร์โมนเพศถ้าผู้เสพเป็นเพศหญิงจะทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ ถ้าผู้เสพเป็นเพศชายจะทำให้ฮอร์โมนเพศลดลง ไม่มีความรู้สึกต้องการทางเพศ
ทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคทางร่างกาย ผู้เสพติดจึงมีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่าย อาการที่พบเห็นภายนอก คือ ผิวหนังมีอาการติดเชื้อเป็นแผลพุพอง ติดเชื้อวัณโรค ติดเชื้อโรคตับอักเสบ นอกจากนี้ผู้เสพติดเฮโรอีนจะทำให้ติดโรคเอดส์ได้ง่ายกว่าปกติ เพราะผู้เสพมักใช้เข็มฉีดยาที่ไม่ได้ทำความสะอาด หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกันจนทำให้ติดเชื้อ HIV

ผู้เสพติดเฮโรอีนที่ติดเชื้อ HIV ก็จะเป็นผู้แพร่ระบาด HIV เนื่องจากการจับกลุ่มใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือในบางครั้งก็มีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน โดยไม่ได้ป้องกัน
ฤทธิ์ในทางเสพติด :
เฮโรอีนออกฤทธิ์กดระบบประสาท มีอาการเสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีอาการขาดยาทางร่างกายอย่างรุนแรง

โทษทางกฎหมาย :
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
สรุปข้อหาและบทลงโทษดังนี้

มูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี


การละเมิดสิทธิของเด็กและสตรี เป็นปัญหาที่สำคัญและหยั่งรากลึกในสังคมไทย ผู้ที่ด้อยโอกาสมักจะได้รับการกดขี่ข่มเหงจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่าอยู่เสมอ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ในการช่วยกันสอดส่องดูแลเพื่อไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ การทำร้าย การทารุณกรรม เกิดขึ้นในหมู่ของสตรีและเด็ก ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอในสังคม" "มูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี" เป็นมูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ด้อยโอกาสโดยไม่หวังผลกำไร โดยมี นางปวีณา หงสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตกรุงเทพ ฯ (6 สมัย) เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและประธานของมูลนิธิ ฯ " นางปวีณา หงสกุล เริ่มก่อตั้งมูลนิธิ ฯ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกละเมิดสิทธิ และถูกทารุณกรรมในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการฟื้นฟูด้านร่างกายและจิตใจ และดำเนินการเรื่อยมา... จากผลการปฏิบัติงานของชุดเฉพาะกิจ ส.ส.ปวีณา หงสกุล เพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง และได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกฃนให้ความร่วมมือด้วยดีตลอดมา เพราะประชาชนเป็นจำนวนมากที่ถูกละเมิดสิทธิ์ และผู้พบเห็นได้มาร้องเรียน เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีถูกละเมิดสิทธิ เช่น ล่อลวงค้าประเวณี ข่มขืน ทารุณกรรม ฯลฯ และท่านได้ร่วมออกไปปฏิบัติการช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกละเมิดสิทธิ ทันต่อเหตุการณ์ และสามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้

วัตถุประสงค์ :

1. เพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกละเมิดสิทธิ และถูกทารุณกรรมในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการฟื้นฟูด้านร่างกายและจิตใจ
2. เพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ได้รับเคราะห์กรรมและไร้ที่พึ่ง ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
3. เพื่อส่งเสริมและพัฒนารายได้ เสริมทักษะแก่เด็กที่ยากไร้และด้อยโอกาส
4. เพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านวัฒนธรรมไทย

กิจกรรมมูลนิธิ :

มูลนิธิปวีณา หงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้เปิด "โครงการปวีณา 24 ชั่วโมง" ขึ้น เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์ตลอดจนให้ความช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกละเมิดสิทธิ ถูกข่มขืน ทำร้ายร่างกาย ถูกหลอกค้าประเวณี โดยรับแจ้งเหตุผ่านโทรศัพทสายด่วน 24 ชั่วโมง หมายเลข 1134 หรือ 972-5489-90

i Pad


ไอแพด (อังกฤษ: iPad) คือแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบและพัฒนาโดยบริษัทแอปเปิล โดยมีหน้าที่หลักในด้านมัลติมีเดียในด้าน ภาพยนตร์ เพลง เกม อีบุ๊ก และท่องเว็บไซต์ ขนาดและน้ำหนักของไอแพดมีขนาดเบากว่าแล็ปท็อป โดยมีน้ำหนัก 680 กรัม และ 601 กรัม สำหรับไอแพดรุ่นแรกและไอแพดรุ่นสองตามลำดับ[16]

ไอแพดเริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 (รุ่นWi-fi) และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 (รุ่นWi-fiพร้อมกับ 3G) โดยไอแพดสามารถทำยอดขายได้ถึง 3 ล้านเครื่องในช่วงเวลาเพียง 80 วัน[17] ส่วนการวางจำหน่าย ผ่านตัวแทนอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เพิ่งเริ่มเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2553 ไอแพดมาพร้อมกับเทคโนโลยี Multi Touch สามารถเล่นวีดีโอ, ฟังเพลง, ดูรูปภาพและเล่นอินเทอร์เน็ตได้ ไอแพดมีหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว มีความละเอียด 768 x 1024 พิกเซล หนา 0.5 นิ้ว ใช้ซีพียู Apple A4 ที่พัฒนาขึ้นเองโดยบริษัทแอปเปิล ใช้ระบบปฏิบัติการไอโฟนรุ่น 3.2 ซึ่งสามารถใช้โปรแกรมต่างๆ ร่วมกับไอพอดทัช และ ไอโฟนได้ ปัจจุบันใช้ระบบปฏิบัติการ ios เวอร์ชัน 4.3.5

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

ปลาหมึกพอล


สื่อเทศตีข่าว หมึกพอล หมึกยักษ์นักทำนายผลบอลโลก 2010 ตายแล้ว เมื่อคืนวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า หมึกพอล หมึกยักษ์ที่โด่งดังจากการทำนายทายผลฟุตบอลโลก 2010 แห่งสวนน้ำ ซี ไลฟ์ อควอเรียม เมืองโอเบอร์เฮาเซ่น ของเยอรมัน ได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อคืนวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่สวนน้ำซี ไลฟ์ฯ ระบุว่า หมึกพอล ตายอย่างสงบตามธรรมชาติอันเนื่องมาจากอายุขัย 2 ปีกว่าของมัน จากปกติหมึกพันธุ์นี้จะมีอายุขัยไม่เกิน 3 ปี ซึ่ง หมึกพอล เกิดในปี 2008 ที่เมืองเวย์เมาธ์ ประเทศอังกฤษ

ทั้งนี้ สเตฟาน พอร์โวล ผู้จัดการสวนน้ำฯ กล่าวว่า ทางสวนน้ำตั้งใจจะฝังร่างของ หมึกพอล และสร้างป้ายสลักชื่อมันไว้ด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ หมึกพอล ได้สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลก จากการทายผลการแข่งขันของทีมเยอรมันในฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ และมันสามารถทายถูกถึง 8 ครั้ง ทำให้ หมึกพอล แจ้งเกิดเป็นดาวดังไปทั่วโลก แต่ทางสวนน้ำฯ ก็ยืนยันไม่ขายมัน และซึ่งทีมงานในสวนน้ำฯ ทุกคนต่างรักมันมาก และจะคิดถึงมันตลอดไป

สำหรับ หมึกพอล เป็นหมึกยักษ์ที่โด่งดังมากจนต้องมีเอเย่นต์ส่วนตัว และถูกนำชีวิตมาสร้างหนัง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นหมึกยักษ์ที่คนต้องการตัวมากที่สุด แต่ทางสวนน้ำซีไลฟ์ฯ ก็ยืนกรานไม่ขาย หมึกพอล และยังเคยใช้ชื่อของพอลในการช่วยระดมทุนช่วยเหลือเต่าทะเลใกล้สูญพันธุ์ในประเทศกรีซอีกด้วย

ค้างคาวแม่ไก่


ค้างวคาวที่พบที่ วัดโพธิ์ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา คือ ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน (Pteropus vampyrus) เป็นชนิดที่พบตามพื้นที่ป่าดิบชื้นบริเวณชายฝั่งทะเล เป็นค้างคาวกินผลไม้ มีน้ำหนักตัว 1 กก. เมื่อกางปีกออกทั้งสองข้างจะ กว้างถึง 2 เมตร ค้างคาวแม่ไก่เป็นค้างคาวสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หน้าตาเหมือนสุนัขจิ้งจอกคือ มีดวงตาโต จมูกและใบหูเล็ก ขนสีน้ำตาลแกมแดง และมีเล็บที่แหลมคมสามารถเกาะกิ่งไม้ได้ มีปีกสีดำ บินได้เร็วและไกลเหมือนนก กางปีกกว้างประมาณ ๓ ฟุต แม่ค้างคาวให้กำเนิดลูกได้ครั้งละ ๑ ตัว

ในเวลากลางวันจะอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่เกาะกิ่งไม้ห้อยหัวลงมา ยามพลบค่ำก็จะออกบินไปหากิน เพื่อควบคุมการใช้พลังงาน โดยในช่วงเกาะนอนหลังการย่อยอาหารจะเป็นช่วงที่ค้างคาวใช้พลังงานน้อยที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะค้างคาวได้วิวัฒนาการให้มีเส้นเอ็นที่ทำหน้าที่ดึงให้เล็บงอจับวัตถุนั้น มีลักษณะเป็นเป็นรอยหยักคล้ายเกล็ด (scales) ซึ่งเอ็นบริเวณนี้จะถูกดึงให้เข้าไปล็อกแน่นอยู่ในช่องที่เรียกว่า raticulum ของกระดูกนิ้วท่อนที่ 2 ลักษณะดังกล่าวการห้อยหัวเกาะนอนของค้างคาวจึงไม่มีการใช้พลังงาน การเลือกที่เกาะนอนจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการดำรงชีวิตของค้างคาว ค้างคาวจึงเลือกต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่ โดยจะเกาะกิ่งไม้ชั้นรองเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงให้มากที่สุดและหลีกเลี่ยงต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยว เนื่องจากต้นไม้ลักษณะดังกล่าว มีโอกาสสัมผัสกับแสงในทุกด้าน นอกจากนี้ยังเป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับสัตว์อื่นที่กิน ผลไม้ แมลง หรือน้ำหวานเหมือนกัน เช่นนกนางแอ่น นกเงือก หรือนกกินปลี อีกทั้งพืชหลายชนิด เช่นไม้ในสกุลสะตอและเพกา มีการพัฒนาพิเศษสำหรับค้างคาวกินน้ำหวาน โดยดอกไม้พวกนี้จะบานตอนกลางคืนพร้อมกับผลิตน้ำหวานที่ค้างคาวชอบ เพาะในขณะที่กินน้ำหวาน ค้างคาวก็จะพาเกสรจากต้นหนึ่งไปสู่อีกต้น จึงนับว่าค้างคาวมีส่วนช่วยผสมเกสรดอกไม้ และเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ค้างคาวต้องหากินตอนกลางคืน ก็คือ เป็นการป้องกันตัวจากสัตว์ผู้ล่า เช่น อาหารของค้างคาวแม่ไก่ มีหลายประเภท ได้แก่ ใบไม้ เกสรดอกไม้ และผลไม้ เช่น ใบโพธิ์ ใบและผลมะม่วง ใบมะขาม เป็นต้น เคยมีผู้เฝ้าสังเกตการหากินของค้างคาวที่นี่พบว่าค้างคาวบินไปหากินตามเขตชายแดนไทยหรือฝั่งประเทศกัมพูชา

ประโยชน์

ค้างคาวมีส่วนช่วยในการรักษาไว้ซึ่งโครงสร้างความหลากหลายและการหมุนเวียนพลังงานในระบบนิเวศของป่าไม้ โดยจะช่วยผสมเกสรหรือกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้ เช่น ทุเรียน นุ่น ฝรั่ง มะม่วง เป็นต้น ค้างคาวยังเป็นผู้คืนชีวิตให้ป่า กล่าวคือในพื้นที่ป่าที่ถูกทำลายนั้น จะต้องมีต้นไม้กลุ่มแรกที่บุกเบิกกำเนิดขึ้นก่อน ต้นไม้กลุ่มแรกนี้จะเป็นไม้พวกที่ค้างคาวเป็นผู้นำพา ทั้งนี้เนื่องจากพฤติกรรมการหากินของค้างคาวที่แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ คือ ค้างคาวจะถ่ายมูลในขณะที่บินหากิน มันจึงช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ไปตามบริเวณที่มันบินผ่าน โดยที่ค้างคาวสามารถบินได้ประมาณ 20-100 กิโลเมตร และค้างคาวยังมีส่วนในการรักษาความสมดุลของแมลงในธรรมชาติ ในเวลา 1 ชั่วโมง ค้างคาวสามารถกินแมลงขนาดเล็กได้ประมาณ 500-1,000 ตัว ซึ่งแมลงเหล่านี้บางชนิด เป็นศัตรูพืชและเป็นอันตราย ต่อมนุษย์ เช่นยุงที่เป็นพาหะนำเชื้อมาเลเรีย

ค้างคาวคือเพื่อน...หาใช่ศัตรู

คนทั่วไปมักจะกลัวค้างคาวและมักจะคิดว่ามันจะเข้ามาทำร้าย แท้ที่จริงแล้วพวกมันเป็นสัตว์ที่ขี้อาย ค้างคาวกินผลไม้มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำความเสียหายแก่ผลไม้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ชาวสวนมักจะเก็บผลไม้ในช่วงก่อนที่จะสุก หรือเริ่มจะสุก ส่วนค้างคาวชอบกินผลไม้ที่สุกงอมมากๆ หรือพวกที่สุกจนเกินเก็บ และหลายคนคิดว่าค้างคาวเป็นพาหะนำเชื้อโรค การที่คนจะติดเชื้อโรคจากค้างคาวได้นั้น จะต้องมีการสัมผัสกับมันอย่างใกล้ชิดและบ่อยๆ ทราบหรือไม่ว่า มูลของค้างคาวคือปุ๋ยธรรมชาติที่ดีที่สุด มีคุณค่าทางอาหารต่อพืชสูงมาก ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับถ้ำที่มีค้างคาวอาศัยอยู่ ก็จะมีรายได้จากการเก็บมูลค้างคาวขาย แต่ในปัจจุบันนี้ พื้นที่ป่าไม้และธรรมชาติถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก จำนวนค้างคาวก็มีจำนวนที่ลดลง บางส่วนก็ถูกจับมาขายเป็นของที่ระลึก ค้างคาวแม่ไก่จึงมีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง และ จัดเป็นสัตว์ป่าชนิดที่หาได้ยากของไทย

กวางเรนเดียร์ (Reindeer)


กวางเรนเดียร์ (อังกฤษ: Reindeer) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ มีนิสัยดุร้าย มีลักษณะคล้ายคลึงกับกวางเอลก์ จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดของแคนนาเดียนทุนดรา ตัวเมียมีน้ำหนักประมาณ 60 - 170 กิโลกรัม ส่วนสูงประมาณ 162 – 205 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่า มีน้ำหนักประมาณ 100 - 318 กิโลกรัม ส่วนสูงประมาณ 180 - 214 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 14 – 20 เซนติเมตร ตัวผู้ที่มีอายุมากจะผลิเขาในเดือนธันวาคม ตัวผู้ที่อายุน้อยจะผลิเขาในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนตัวเมียจะผลิเขาในฤดูร้อน เขาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เขาที่อยู่สูงกว่า และเขาที่อยู่ต่ำกว่า เขากวางเรนเดียร์ตัวผู้ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากกวางมูส คือ กว้างประมาณ 100 เซนติเมตร ยาวประมาณ 135 เซนติเมตร

นกเลิฟเบิร์ด (Lovebirds)


เป็นนกที่มีสายพันธุ์เดียวกับนกแก้ว (Parrot) จึงเรียกว่าเป็น Little Parrot และ ด้วยเอกลักษณ์ ของนกชนิดนี้ก็คือ ชอบอยู่เป็นคู่ก็มีการเรียกชื่อใหม่ ว่าเป็นสายพันธุ์ Agapornis ต่อมาการเลี้ยงนก Lovebirds มีจุดมุ่งหมายก็เพื่อ ให้ได้ สีสันใหม่ ๆ ที่สวยงามขึ้น และเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ รวมทั้งมีการผสมกับ นกสายพันธุ์อื่น ๆ อีกด้วยอายุโดยเฉลี่ยประมาณ 15 - 20 ปี ประเทศไทยสามารถเพาะพันธ์นกได้ ตลอดทั้งปีเลิฟเบิร์ดอาหารได้แก่ เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ เช่น มิลเลต ข้าวไรน์ ข้าวเปลือกมะเขือ โดยทั่วไปอุปนิสัยของ Lovebirds จะชอบอยู่เป็นคู่ ร่าเริง สดใส ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วตลอดเวลา



เลิฟเบิร์ด กลายเป็นนกที่ได้รับการบันทึกไว้ในวงการนกสวยงามไทยว่า มันคือ นกที่สร้าง เศรษฐีวงการนก และ สร้างยาจกใหม่ จากการเลี้ยงนก ได้ในเวลาเดียวกัน มีถิ่นกำเนิดจากทวีป แอฟริกา เป็นนกที่มีเสน่ห์ ขี้เล่น จะอยู่กันเป็นคู่ มีสีสันมากมาย เริ่มต้นทีแรกเลยจะเป็นสีเขียว แล้วคนนำมาเพาะเลี้ยงแล้วพัฒนาสายพันธ์ ผสมออกมามีสีต่าง ๆ มากมายจนตอนนี้มีสีม่วงแล้ว อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 15 - 20 ปี ประเทศไทยสามารถเพาะพันธ์นกได้ตลอดทั้งปีเลิฟเบิร์ด เป็นที่ทราบกันดีว่า นกแก้วเลิฟเบริด์ นกในสกุล Agapornis 9 สายพันธุ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือไม่มีขอบตา และ มีขอบตา ประกอบด้วย



1.Peach-faced Lovebird, (Agapornis roseicollis) : นกเลิฟเบิร์ด ไม่มีขอบตา ขนสีเขียวสดทั้งตัว ส่วนท้าย(Rump) มีสีฟ้าสดจากหน้าผากตลอดข้างแก้มทั้ง 2 ข้าง เล็บสีแดง ปากสีขาวหรือสีงาช้าง

2.Fischer's Lovebird, (Agapornis fischeri) : เป็นเลิฟเบิร์ดประเภทมีขอบตา ถ้าเป็นโทนสีเขียว หน้านกจะสีแดง ถ้าเป็นโทนสีฟ้า หน้านกเป็นสีขาว ปัจจุบันนก FISHER จะมีการพัฒนาได้สีสันใหม่ ๆ มากมาย สีม่วงเป็นสีที่หายาก

3.Masked Lovebird, (Agapornis personatus): เป็นนก lovebirds ประเภทที่มีขอบตา หัวจะมีสีดำสนิท มีสีกว่า 30 สี สีม่วงเป็นสีที่หายาก

4.Madagascar Lovebird, (Agapornis canus) : ตัวเล็กพอ ๆ กับ BLACKCHEEKED ตัวเมียจะมีสีเขียวทั้งตัว ตัวผู้ตัวจะมีสีเขียว หัว,คอ จะมีสีขาว

5.Lilian's Lovebird or Nyasa Lovebird, (Agapornis lilianae) : เป็นประเภทมีขอบตา ถ้านกมีสีเขียวหน้าจะมีสีแดง ถ้านกสีฟ้าหน้าจะสีขาว สีเหลืองตาแดงจะหายาก

6.Black-cheeked Lovebird, (Agapornis nigrigenis) : เป็นประเภทมีขอบตา หัวจะดำ หน้าจะเป็นคล้าย ๆ หน้ากากตัวจะเล็กกว่าพวก MASKED , FISHERI เป็นนกที่ป้อนลูกเก่ง

7.Abyssinian Lovebird, (Agapornis taranta) : ตัวนกจะค่อนข้างโต ตัวผู้หน้าจะมีสีแดง ตัวเมียหน้าจะไม่มีสีแดง

8.Red-faced Lovebird, (Agapornis pullarius) : นกจะมีสีเขียว หน้าจะมีสีแดง

9.Black-collared Lovebird, (Agapornis swindernianus)



สถานที่เลี้ยงควรจะเลี้ยง

Lovebirds ไว้เป็นคู่ ภายในกรงขนาด กว้าง x ยาว x สูง เท่ากับ 18" x 15" x 15" หรือกรง "หมอนเล็ก" โดยประมาณ ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และควรหลีกเลี่ยงที่ที่มีลมโกรกรุนแรง หรือแดดจัดเกินไป ฝนสาดเข้ามาโดนได้ แล้วล้อมรอบด้วยมุ้งลวดอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันยุงและแมลง และควรระวังศัตรูธรรมชาติของนก เช่น แมว หรือหนูด้วยการล้อมรอบโรงเรือนด้วยตาข่าย ภายในโรงเรือนควรติดสปริงเกิล เพื่อความเย็นสบายของนกและกระเบื้องมุงหลังคาควรสลับกับกระเบื้องแผ่นใสเพื่อให้โรงเรือนมีแสงส่องสว่างด้วย



ลักษณะนกเลิฟเบิร์ดที่ดี

เราสามารถดูลักษณะ Lovebirds ที่ดีได้จากรูปร่างภายนอก นั่นก็คือ ขนจะต้องเงางาม ตามีแวว สดใส ปาก ขา เล็บ ไม่ขาด ไม่แหว่ง หรือกุด ดูร่าเริง มีอาการตอบโต้ ไม่ซึม หรือยืนพองขน ส่วนเรื่องเพศของนก Lovebirds จะดูได้จากภายนอกค่อนข้างยาก แต่ก็มีวิธีดู โดยต้องจับตัวนกแล้วพลิกหงายท้อง จากนั้นจับตะเกียบหรือกระดูกเชิงกราน ตรงส่วนท้ายที่ติดกับโคนหาง แล้วใช้นิ้วมือคลำเบา ๆ ซึ่งกระดูกเชิงกรานจะเป็นกระดูก 2 ชิ้น คู่กัน - เพศผู้กระดูกส่วนนี้จะชิดกัน และแข็ง นูนขึ้นมามาก - เพศเมีย จะค่อนข้างห่างและอ่อน

AK 47


AK-47 ปืนยอดนิยมของผู้ร้าย

- เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าปืนเล็กยาวเป็นอาวุธประจำกายของทหารราบ ทหารต้องพึ่งพามันได้ยามเข้าสมรภูมิ ไม่ว่าภูมิประเทศ และภูมิอากาสจะเป็นอย่างไร กลไกของปืนต้องทำงานได้ดีไม่ติดขัด ความขัดข้องแม้เพียงน้อยนิดหมายถึงชีวิตของทหารผู้ถือปืนกระบอกนั้น
- หากมีใครตั้งคำถามว่ามีปืนเล็กยาวแบบนั้นอยู่ในโลกหรือเปล่า คำตอบก็คือมี และมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947
แล้วในชื่อ AK-47
จากชื่อเต็ม Avtomat Kalashnikova obraztsova:goda 1947
ในชื่ออันคุ้นเคยว่า “อาก้า”


- ปืนเล็กยาวจากฝีมือการออกแบบของนายทหารชาวรัสเซียผู้ใช้นามสกุลของตนเป็น ชื่อย่อของปืน ร้อยเอกมิคาอิล คาลาชนิคอฟ ก่อนจะแตกรุ่นออกไปมากมาย และเป็นที่นิยมใช้ในกองทัพทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
- ประวัติศาสตร์หน้าแรกของอาก้าเริ่มขึ้นในดินแดนของศัตรูเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 2 จากการวิจัยของกองทัพบกเยอรมันที่พบว่าระยะยิงปืนเล็กยาวหวังผลได้ดีที่สุด คือ 300 เมตร ตรงนั้นคือระยะไกลที่สุดที่ทหารมองเห็นด้วยตาเปล่า และสามารถทำลายเป้าหมายได้ด้วยอาวุธประจำกาย นำกระสุนเข้าสนามรบได้อย่างพอเพียง เพื่อให้ใช้ปืนได้ง่ายมันต้องมีระบบการทำงานไม่ซับซ้อน มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเพื่อง่ายต่อการบำรุงรักษาในสนาม
- ผลการวิจัยของเยอรมันทำให้ต้องรื้อแนวความคิดในการสร้างอาวุธประจำกายทหาร ราบใหม่ทั้งหมดรวมถึงกระสุน เพื่อให้ยิงหวังผลได้ในระยะ 300 เมตร
กระสุน เดิมขนาด 7.92x57 ม.ม. ของเมาเซอร์ที่ใหญ่ และหนักเกินความจำเป็น
จึงถูก ตัดท้ายให้สั้นลงเป็น 7.92x33 ม.ม. มีชื่อเล่นว่า “คูร์ซ” (Kurz)
ผลพลอย ได้คือราคาถูกลง และผลิตได้มากกว่า


- ผลการวิจัยของเยอรมันทำให้เกิดปืนเล็กยาวเพื่อรองรับแนวความคิด และกระสุน “ชทวร์มเกแวร์ 44” (Sturmgewehr 44 ชื่อเดียวกับ MP44) โดยการนำข้อดีของปืนอีกสองสัญชาติมาดัดแปลงคือปืน เชอิ-ริก็อตตี (Cei-Rigotti) ของอิตารี และเฟโดรอฟ อัฟโตมัต (Fedorov Avtomat) ของรัสเซียคู่สงครามในขณะนั้น แล้วผลิตออกมามากในปี ค.ศ. 1944 เพื่อส่งเข้าแนวรบด้านตะวันออกที่ตนกำลังเพลี่ยงพล้ำให้ยันการรุกของกองทัพ แดง
- ถึงจะได้ชื่อว่าผลิตออกมามากเพราะสร้างได้เร็วจาการปั๊มโลหะขึ้นรูป แต่ StG44 ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของสงครามได้ เยอรมันแพ้สงครามในปีถัดมาก็จริง แต่รัสเซียได้รับผลกระทบจากปืนแบบนี้ไปเต็มๆเพราะถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดรวม ทั้งที่ยึดได้อีกมาก
- โลกคงไม่รู้จัก มิคาอิล คาลาชนิคอฟ หากเข้าเสียชีวิตในสมรภูมิเมืองไบรยันสก์ ปราการขวางกองทัพเยอรมันสู่กรุงมอสโกที่ทหารของกองทัพแดงถูกสังหารถึง 80,000 นาย และอีก 50,000 นาย ตกเป็นเชลย
- คาลาชนิคอฟได้รับบาดเจ็บที่นี่ระหว่างทำหน้าที่ผู้บังคับรถถังในกองพลยาน เกราะที่ 12 ด้วยยศสิบเอก และการเผชิญหน้ากับเยอรมันด้วยยานเกราะ และบางครั้งก็ปะทะกันแบบทหารราบ คาลาชนิคอฟจึงเข้าใจดีถึงความต้องการอาวุธประจำกายของทหาร
- เขาเบนเข็มจากทหารในหน่วยรบสู่นักออกแบบ และพัฒนาอาวุธหลังออกจากโรงพยาบาล ด้วยความคิด่าจะนำประสบการณ์ และความรู้ของตนมาช่วยกองทัพ ให้ทหารมีอาวุธดีๆ ใช้และกองทัพแดงไม่เป็นรองใคร
- อาวุธประจำกายพลิกประวัติศาสตร์ฝีมือ มิคาอิล คาลาชนิคอฟ จึงเกิดขึ้น จากแนวความคิดให้ตอบสนองความต้องการของทหารราบมากที่สุด ต้องผลิตได้เร็วมาก ยิงแม่นพอประมาณด้วยกระสุน 7.62x39 ม.ม. ที่เล็กกว่าแต่ให้แรงขับมากกว่ากระสุนต้นแบบของเยอรมันเล็กน้อย



- ทหารถอดทำความสะอาดได้รวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ใช้งานได้ในทุกภูมิประเภท และภูมิอากาศ
- เมื่อปืนเล็กยาว และปืนกลมือในขณะนั้นต่างก็มีข้อดีแตกต่างไป ปืนของ คาลาชนิคอฟ จึงเกิดการนำข้อดีของปืนเหล่านั้นมารวมกันด้วยเดือยเหล็กลำกล้องคู่จาก M1 “กาแรนด์” (Garand) ของสหรัฐ เรือนเครื่องลั่นไก และกลไกนิรภัยจากปืนเล็กยาวเรมิงตันโมเดล 8 และระบบการทำงานด้วยแก๊ซกับรูปแบบการวางเรียงชิ้นส่วนจาก StG44 ของเยอรมัน
- ระบบทั้งหมดถูกนำมายำโดยไม่ต้องคิดค้นอะไรใหม่ให้มากความ
- ถึง คาลาชนิคอฟ จะบอกว่าไม่ได้เอาแนวคิดของเยอรมันมาใช้ (เพราะตอนนั้นเป็นศัตรูกัน ใครจะไปยอมรับว่าเป็นปืนของข้าศึกดีกว่าจนต้องลอกเลียน) แต่หลักฐานที่ปรากฏนั้นเป็นไปคนละทิศละทาง
- AK-47 คล้ายคลึงกับ StG44 เหมือนปืนแบบเดียวกันแต่แตกรุ่น ด้วยพานท้ายไม้ลาดต่ำโครงปืนเหล็กปั๊มขึ้นรูป ซองกระสุนโค้งเพื่อจุกระสุนได้มาก ทำงานด้วยแรงดันแก๊ซผลักลูกเลื่อนถอยหลังคัดปลอก มีคันบังคับการยิงอยู่ด้านขวาของตัวปืนเหมือนกัน
- ทั้งที่ปืนเล็กยาวของค่ายตะวันตก และสหรัฐฯต่างวางตำแหน่งกึ่งอัตโนมัติ (semi) ให้เลือกยิงได้ก่อนอัตโนมัติ (auto) แต่คาลาชนิคอฟกลับเลือกระบบของการยิงปืนตนเองกลับข้างกัน ให้เลือกยิงอัตโนมัติได้ก่อนผลักสวิชท์ไปยิงกึ่งอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้กลุ่มกระสุนกดหัวข้าศึกไว้ก่อนแล้วจึงเปลี่ยนระบบการ ยิง
- เป็นการเลือกระบบการยิงที่ฉลาด และเป็นไปตามสถานการณ์จริง
- เมื่อเกิดเหตุการณ์ขับขันทหารมักเลือกยิงอัตโนมัติให้กลุ่มกระสุนกดหัวฝ่าย ตรงข้ามไว้ก่อนจะเข้าที่กำบัง และเล็งประณีตต่อด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติ
- แนวคิดเริ่มต้นของ AK-47 เกิดขึ้นในปลายปี ค.ศ. 1941 จริง แต่กว่าจะพัฒนา และทดสอบจนพอใจได้ ก็ล่วงถึง ค.ศ. 1944 กว่าจะชนะการประกวดให้เป็นปืนในโครงการทดลองของกองทัพโซเวียตได้ต้องใช้เวลา อีกสองปี และถัดมาอีกปีคือ ค.ศ. 1947
- มันจึงได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธประจำกายทหารบางหน่วย ก่อนจะประจำการในฐานะอาวุธพื้นฐานของทหารราบทั้งหมดของโซเวียตในปี ค.ศ. 1949 ตามด้วยกลุ่มประเทศกติกาสัญญาวอร์ซอร์ และบริวาร
- มีให้เลือกทั้งแบบพานท้ายไม้ปกติสำหรับหน่วยรบภาคพื้นดิน และพานท้ายเหล็กพับเก็บได้เพื่อความคล่องตัวสำหรับทหารประจำยานรบ และหน่วยรบพิเศษ ก่อนจะแตกรุ่น และแบบออกไปปอีก
- ความโดดเด่นของ AK-47 นอกจากที่กล่าวข้างต้น คือมันราคาถูก ถอดรื้อทำความสะอาดชิ้นส่วนง่ายแม้ทหารสวมถุงมือ เพื่อตอบสนองความต้องการของทหารโซเวียตที่ประจำการในเขตอากาศหนาวของรัสเซีย และขั้วโลกเหนือส่วนใหญ่


- การสร้างให้ลูกสูบใหญ่มีช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนเคลื่อนไหวหลวมๆ และปลายปลอกกระสุนเรียวแหลม (เป็นเหตุให้ต้องสร้างซองกระสุนโค้งรับสรีระของกระสุน) ทำให้ปืนทนทานต่อสิ่งแปลกปลอมที่พยายามแทรกตัวเข้าสู่กลไก
- มันจึงทำงานได้เป็นปกติแม้หลังจากการแช่น้ำ หมกโคลน หรือฝังทรายไว้ครั้งละหลายๆวันบางครั้งนานเป็นเดือน ขุดขึ้นมายิงกลไกยังทำงานได้เรียบร้อยเหมือนใหม่
- ทั้งที่ดูแลง่าย ซ่อมง่าย ทนทานไม่เกี่ยงลมฟ้าอากาศ แต่ AK-47 ก็มีจุดอ่อนคือความแม่นยำต่ำ เป็นผลจากการประกอบชิ้นส่วนไว้หลวมๆ แสดงถึงแนวความคิดของทหารราบโซเวียตขณะนั้น ที่มุ่งใช้ปืนเล็กยาวยิงกดเพื่อคลุมพื้นที่เป็นหลักก่อนการเคลื่อนที่ของ หน่วยรบ และเป็นไปตามหลักนิยมของกองทัพโซเวียตตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ว่า “ปริมาณคือคุณภาพ”
- ปรัชญานี้สะท้อนให้เห็นด้วยการเน้นปริมาณยุทโธปกรณ์แบบต่างๆ นอกจากปืน เช่น รถถัง เครื่องบินรบ เรือดำน้ำ และอื่นๆ
- ประมาณว่าปัจจุบันมี AK-47 อยู่กว่าร้อยล้านกระบอกทั่วโลกทั้งจากโรงงานในโซเวียต(ในอดีต) และ (รัสเซีย) ปัจจุบันเฉพาะที่มีซีเรียลนัมเบอร์จากโรงงานในรัสเซียประมาณ 10 ล้านกระบอก นอกเหนือจากนั้นคือ การผลิตภายใต้สิทธิบัตรในจีน, ยูโกสลาเวีย, สาธารณรัฐเช็ก และรัฐที่เคยอยู่ใต้อาณัติของโซเวียต
- ปัจจุบันนอกจากรัสเซีย, จีน และประเทศในกลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอว์ AK-47 ยังมีใช้งานในกองทัพทั่วโลก ที่พบเป็นหลักคือ เป็นอาวุธประจำกายของกองโจรต่างๆ และผู้ก่อการร้ายโดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง เป็นที่นิยมเพราะลูกสูบของปืนแบบนี้ไม่กลัวทรายใช้งานในทะเลทรายได้โดยไม่ ต้องปรนนิบัติมาก
- ใครที่เคยสัมผัส AK-47 จริงๆมาแล้วจะพบว่าหลังจากเปิดโครงปืนด้านบนดูกลไกแล้วแทบไม่พบชิ้นส่วน เคลื่อนไหวใดๆเลย มันประกอบขึ้นด้วยเหล็กเพียงไม่กี่ชิ้น สปริงลูกสูบ และลำกล้อง แต่ใช้งานได้ลื่นไหลไม่ติดขัด
- เพราะความง่ายนี้เองกองกำลังส่วนใหญ่ที่ไม่เน้นการฝึกยุทธวิธีจริงจังแต่ เน้นปริมารหน่วยติดอาวุธ จึงนึกถึงมันก่อนปืนแบบอื่น



- ในตลาดอาวุธปัจจุบันนี้ถือว่า AK-47 เป็นที่ต้องการของนักรบ และนักสะสม ราคาค่างวดของมันมีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนถึงหลักแสนดอลลาร์ AK-47 เคลือบทองคือปืนประจำตัวของ ซัดดาม ฮูเซน ส่วนรุ่นลำกล้องตัดสั้นพับฐานคือปืนที่เห็นได้บ่อยๆในภาพข่าว วีดีโอ ของ โอซามา บิน ลาเดน ที่ปรากฏเป็นฉากหลังของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายตัวกลั่นคนนี้บ่อย จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้า
- ย้ำเตือนให้นึกถึงกลุ่มอัล-ไคดา, กองกำลังทาลีบัน และความรุนแรงอื่นๆในตะวันออกกลาง ถ้าเข้าช่องทางถูกถึงไม่ใช่ทหารก็อาจหาซื้อมันได้แถบตะเข็บชายแดน ในราคาเพียงกระบอกละ 2,000-5,000 บาทตามสภาพ
- AK-47 จึงเป็นอาวุธประจำกายทหารราบจริงๆ เท่าที่โลกเคยรู้จัก เล็งง่าย ยิงง่าย แทบไม่ต้องดูแลรักษา นอกจากถอดชิ้นส่วนมาหยอดน้ำมัน และเช็คเป็นครั้งคราว คว้าขึ้นมาดึงคันรั้งลูกเลื่อนแล้วยิงได้เลยแทบไม่ต้องคิด อายุใช้งานแต่ละกระบอกยาวนาน 20-40 ปี
- คุรสมบัติของปืนดังกล่าวนั้นถือว่าไม่เกินจริงเลย เมื่อวัดปริมาณอันมหาศาลของมันในกองทัพทั่วโลก เป็นปืนของทหารราบเพื่อทหารราบ ออกแบบโดยทหารแท้ๆ ตอกย้ำความหมายนี้หนักแน่นด้วยคำพูดของ มิคาอิล คาลาชนิคอฟ ครั้งหนึ่งว่า..



“ทหาร โซเวียตหลายคนเคยถามผมเรื่องการออกแบบ และสร้างปืนใหม่ขึ้นมา เป็นคำถามที่ตอบยากเพราะปืนแต่ละแบบ ย่อมมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน มีทั้งข้อดี และข้อเสียแตกต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกได้คือ ก่อนจะสร้างปืนใหม่ขึ้นมาสักแบบ การเข้าใจระบบการทำงานของปืนเก่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ประสบการณืหลาๆครั้งของผมได้แสดงให้เห็นแล้วว่าจริง”
- คำพูดของคาลาชนิคอฟ เป็นจริงหรือไม่ ประวัติอันโชกโชนของ “อาก้า” ได้พิสูจน์ตัวเองชัดแล้ว

M4A1


M4A1 คือปืนรุ่นเล็กของ M16A2 ถูกดัดเเปลง ให้เหมาะสม กับภารกิจรบพิเศษ โดยปืนรุ่นนี้ ได้รับความนิยมมากจาก หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกา ด้วยขนาดที่ไม่ สั้นยาวจนเกินไป ซึ่งสามารถเข้าถึงพื้นที่แคบๆ ในอาคารได้ จุดเด่นของ M4A1 คือมันสามารถเเสดงศักยภาพ ทางการรบ ได้ดีทั้งในเวลากลางวัน เเละกลางคืน อีกทั้งยังสามารถ ใส่อุปกรณ์เสริมได้ทุกชนิด เเม้ว่าจะมีขนาดเล็กก็ตาม อุปกรณ์เสริมของรุ่นนี้ อาทิเช่น ที่จับด้านหน้า , อินฟาเรด เลเซอร์, ลำกล้อง 9 นิ้วของปืนยิงลูกระเบิดที่นำกล้องเล็งเเละที่หิ้วปืนมาประกอบ
เข้าด้วยกัน, visible light , back up iron slight เเละ visible laser

Airsoft Gun M4A1 ของ Tokyo Marui ซึ่งได้ว่าจ้างให้ likes of Killer Studio และ Systema สร้างขึ้น ในส่วนของ BB ตัวนี้ความนิ่งอยู่ในระดับที่ดีเนื่องจาก พลังที่ได้จากมอร์เตอร์ Eg 1000 และลำกล้องที่ยาวขึ้นศูนย์เล็งที่เห็นได้ชัดเจน ทำให้คนที่ชอบในตัวของ M16 A2 ต้องชอบ M4A1 อย่างแน่นอน

จรวดขวดน้ำ


จรวดขวดน้ำ (PET) คือ จรวดที่สร้างจากขวดพลาสติกน้ำอัดลม ใช้แรงขับเคลื่อนด้วยน้ำหรือแป้งโดยอาศัยแรงดันของอากาศที่บรรจุอยู่ภายใน

สำหรับในประเทศไทย การแข่งขัน จรวดขวดน้ำ ระดับประเทศ ได้มีการจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี 2546 โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) “ การแข่ง จรวดขวดน้ำ ” นอกจากจะเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ง่ายต่อการที่เยาวชนจะให้ความสนใจแล้ว การแข่ง จรวดขวดน้ำ ยังควบคู่ไปด้วยสาระความรู้ในกระบวนการวิทยาศาสตร์ ส่งเสริมพัฒนาให้เด็กได้ใช้ความรู้และจินตนาการอย่างดี และยังมีบุคคล นักเรียน นักศึกษาให้ความสนใจในกิจกรรมกาารแข่ง จรวดขวดน้ำ นี้มากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม นอกจากการแข่งขัน จรวดขวดน้ำ ระดับประเทศของไทยแล้ว จรวดขวดน้ำ ยังเป็นที่นิยมในหลายๆ ประเทศ อย่าง Water Rocket Challenge ในประเทศอังกฤษ Adventures in Science and Technology - The Great Cross - Canada Water Rocket Challenge ที่แคนาดา Japanese Water Rocket Contest ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเยาวชนไทยนั้น ก็มีความสามารถไปประชันฝีมือ การทำ จรวดขวดน้ำ ในเวทีระดับชาติมาแล้วเช่นกัน



จรวดขวดน้ำ

รอบรู้ก่อนประดิษฐ์ จรวดขวดน้ำ

การที่จำทำให้เจ้า จรวดขวดน้ำ ขวด หรือ PET นั้น สามารถลอยอยู่ในอากาศให้ได้ทั้งไกล และมีความแม่นยำในการยิง จรวดขวดน้ำ ได้นั้น หลักการทางวิทยาศาสตร์ด้านใดบ้างที่เราต้องมีความรู้?

1.แรง

ถ้าเพียงให้แค่ จรวดขวดน้ำ ลอยได้ในอากาศนั้น ลำพังแค่ขว้างไปก็ทำได้แล้ว หากแต่จะทำให้ จรวดขวดน้ำ ของเราลอยไปได้ไกลๆ นั้น จำเป็นมากที่เราต้องมีความรู้เกี้ยวกับเรื่องของ "แรง"

การใส่แรงดันเข้าไปใน จรวดขวดน้ำ ทำให้ขวดมีแรงดันและสามารถไปได้ไกล ส่วนที่ว่า จรวดขวดน้ำ จะไปได้ไกลมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ย่อมขึ้นอยู่กับแรงที่เราอัดเข้าไปใน จรวดขวดน้ำ เพราะเมื่อแรงดันจากอากาศ จรวดขวดน้ำ ของเรา ก็จะร่วงลงพื้นตามกฎของแรงดึงดูดของโลกนั้นเอง แต่ว่ารู้อย่างนี้แล้ว ใช่ว่าอยากให้ จรวดขวดน้ำ ไปได้ไกลเท่าไหร่ ก็อัดแรงดันเข้าไป แบบนั้นเห็นว่า เป็นการมองข้ามข้อจำกัดของแรงดันอากาศ ณ จุดที่เกินพอดี แล้วทำให้ จรวดขวดน้ำ แตกได้

2.น้ำหรือแป้ง

น่าแปลกที่ทั้งน้ำและแป้งที่ใส่เข้าไปใน จรวดขวดน้ำ กลับทำให้ จรวดขวดน้ำ ไปได้ไกลกว่าเดิม ออกจะขัดแย้งกับความรู้สึกที่ว่า มันน่าจะถ่วงน้ำหนักทำให้ จรวดขวดน้ำ ตกไวขึ้น แต่ตรงข้าม ผลที่เกิดคือ จรวดขวดน้ำ กลับไปได้ไกลว่าเดิม นั้นก็สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ คือ น้ำและแป้งที่เราใส่เข้าไปใน จรวดขวดน้ำ ช่วยทำให้อากาศออกจากตัว จรวดขวดน้ำ ช้าลง จึงทำให้ จรวดขวดน้ำ ไปได้ไกลและลอยตัวอยู่ในอากาศได้นานขึ้น มากกว่า จรวดขวดน้ำ ที่มีแต่แรงดันอากาศเพียงอย่างเดียว



จรวดขวดน้ำ

รู้จักส่วนต่างๆ ของ จรวดขวดน้ำ

ขวด PET (Poly Ethylene Terephthalate) : ขวด PET ได้เข้ามาเป็นที่รู้จักในประเทศไทยก็จากวงการของน้ำอัดลมนั้นเอง โดยนำมาเป็นขวดที่ใช้ในการใส่เครื่องดื่ม เพราะด้วยคุณสมบัติที่มีน้ำหนักเบา มีความสามารถในการซึมผ่านของก๊าซต่ำ และที่สำคัญคือมีความต้านทานแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ถ้าหากเราไปใช้ขวดพลาสติกชนิดอื่น ซึ่งมีความทนต่อแรงดันอากาศต่ำ เมื่อเราใส่แรงดันอากาศเข้าไป แล้วยิง จรวดขวดน้ำ ก็จะทำให้ จรวดขวดน้ำ ระเบิดได้

ฐานยิงจรวดขวดน้ำ : มีอยู่ 2 แบบคือ ประเภทที่ใช้ระบบปลดเร็ว ซึ่งมี adapter ติดกับตัว จรวดขวดน้ำ และ ฐานยิงจรวดขวดน้ำ แบบไม่ใช้ adapter

ปีก/ครีบ จรวดขวดน้ำ (Fin) : ส่วนสำคัญที่ช่วยในการบังคับทิศทางของ จรวดขวดน้ำ

หัว จรวดขวดน้ำ : รูปร่างของหัว จรวดขวดน้ำ นั้น มีผลต่อแรงต้าน (drag) และตำแหน่งของจุดศูนย์กลางของแรงต้าน (center of drag) และการออกแบบ จรวดขวดน้ำ ต้องคำนึกถึงความปลอดถัยของ จรวดขวดน้ำ และสิ่งที่ จรวดขวดน้ำ จะชน

นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็น ขาตั้งจรวดขวดน้ำ การต่อขวด ปั๊มลม แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของ จรวดขวดน้ำ ฯลฯ ซึ่งสามารถหาความรู้ได้จากหนังสือ เว็บไซต์ หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำ จรวดขวดน้ำ กันโดยตรง จากผู้ที่มีความรู้ความสนใจในกิจกรรม การประดิษฐ์จรวดขวดน้ำ ตามโอกาศต่างๆ

ขวด PET ได้เข้ามาเป็นที่รู้จักในประเทศไทยก็จากวงการของน้ำอัดลมนั้นเอง โดยนำมาเป็นขวดที่ใช้ในการใส่เครื่องดื่ม เพราะด้วยคุณสมบัติที่มีน้ำหนักเบา มีความสามารถในการซึมผ่านของก๊าซต่ำ และที่สำคัญคือมีความต้านทานแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ถ้าหากเราไปใช้ขวดพลาสติกชนิดอื่น ซึ่งมีความทนต่อแรงดันอากาศต่ำ เมื่อเราใส่แรงดันอากาศเข้าไป แล้วยิง จรวดขวดน้ำ ก็จะทำให้ จรวดขวดน้ำ ระเบิดได้


จรวดขวดน้ำ

การประดิษฐ์ จรวดขวดน้ำ

การเตรียมขวด จรวดขวดน้ำ

ขวดที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นขวดน้ำอัดลม เล็กหรือใหญ่ก็ได้ เลือกแบบตามชอบ แต่ดูเหมือนขวดแฟนต้าจะมีรูปร่างคล้ายจรวดมากกว่าใคร

การเป่าขวด จรวดขวดน้ำ

ส่วนใหญ่จะเป่าที่ก้นขวด เพื่อให้มีปริมาตรมากขึ้น และมีรูปทรงตามต้องการ

ปากขวดของ จรวดขวดน้ำ

โดยทั่วไปจะคงไว้ตามเดิม แต่กรณีที่มีปัญหา เช่น ใส่ขวดไม่เข้าเพราะปาก จรวดขวดน้ำ เล็กไปหน่อย หรือโอริงโตกว่านิดหน่อย การแก้ไขในกรณีนี้ เราก็ขยายปากขวด จรวดขวดน้ำ ให้กว้างขึ้นนิดหน่อย ก็เป็นอันเรียบร้อย

หัวจรวดของ จรวดขวดน้ำ

หัวจรวดของ จรวดขวดน้ำ เราทำได้หลายแบบ หัวทู่ หัวกลม หัวแหลม ก็ว่ากันไป ขึ้นอยู่กับการทดลองว่าแบบไหนจะเห็นผลมากกว่ากัน แบบนี้ต้องทดลอง

หางจรวดของ จรวดขวดน้ำ

บางทีเรียกปีก ฝรั่งเรียก ฟิน รูปแบบที่ใช้ก็มีหลากหลายรูปแบบ ในทางการหน่อย ถ้ามีพื้นที่มากจะมีแรงต้านมากตามไปด้วยต้องทดลอง และวิเคราะห์ดูว่าขนาดและแบบไหนจะดีที่สุด

ลำตัวของ จรวดขวดน้ำ

ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็ใช้ขนาดที่มากับขวด แต่อยากแต่งซิ่งก็ต้องเป่ากันหน่อย

การต่อขวด จรวดขวดน้ำ

นำขวดมา 2 ใบ ทำให้ใบหนึ่งใหญ่กว่าอีกใบหนึ่งเล็กน้อย พยายามที่จะให้อีกใบหนึ่งสวมเข้าไปได้ ตรงรอยต่อให้ขัดกระดาษทราย เพื่อจะได้ติดแน่นเวลาใส่กาว ไม่ต้องใช้กาวแพงก็ได้ ใช้ 502 ก็ได้



วิธีทำจรวดขวดน้ำ

กรณีนี้ ต่อแบบทะลุ 2 ขวด บางท่านอาจต่อแบบไม่ทะลุ แบบนี้ต้องเล็งให้ได้ศูนย์ จึงจะดีต่อการเคลื่อนที่ของจรวด




วิธีทำจรวดขวดน้ำ

ก่อนใส่กาว หาลวดเล็กๆ มาเสียบระหว่างรอยต่อของ จรวดขวดน้ำ เพื่อให้มีช่องสำหรับการเคลื่อนที่ของกาว แล้วขยับลวดไปรอบๆ พร้อมกับค่อยๆ เติมกาว อย่าใจร้อน ค่อยๆ สังเกต เมื่อกาวทั่วดีแล้ว ทิ้งไว้ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง จรวดขวดน้ำ ก็จะใช้ได้ดี และแข็งแรงพอที่จะรับแรงดันได้ 60 ปอนด์


กฏความปลอดภัย

จรวดขวดน้ำ PET ถึงจะดูเผินๆ คล้ายของเล่น แต่เนื่องจากมันสามารถวิ่งไปด้วยความเร็ว ไม่น้อยกว่า 76 เมตรต่อวินาที (หรือ 170 ไมล์ต่อชั่วโมง) ดังนั้นในการเล่น จรวดขวดน้ำ PET จึงมีข้อควรระวัง และจำเป็นต้องปฏิบัติตามดังนี้

1. น้องๆ ที่อายุน้อย ควรเล่น จรวดขวดน้ำ ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่

2. ไม่ควรปล่อย จรวดขวดน้ำ ในทิศทางที่มีคน หรือกลุ่มคน

3. ไม่ควรเล่น จรวดขวดน้ำ ในที่คับแคบ และใกล้เคียงกับอาคาร รถยนต์ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แตกหักเสียหายได้จากการพุ่งชนของ จรวดขวดน้ำ

4. ไม่ควรเล่น จรวดขวดน้ำ ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูง หรือถนนที่มีรถยนต์วิ่งไปมา

5. ห้ามใช้วัสดุอื่นใดที่ไม่ใช้ขวดน้ำอัดลม (ขวด PET) อาทิเช่น ขวดแก้ว ขวดน้ำดื่มพลาสติก ในการทำตัว จรวดขวดน้ำ

6. ห้ามปล่อย จรวดขวดน้ำ ในที่ที่มีลมพัดแรง ทั้งนี้จะทำให้ จรวดขวดน้ำ เปลี่ยนทิศทาง และก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนรอบข้างได้

7. ควรมีอุปกรณ์สวมอุปกรณ์ป้องกันศีรษะ และดวงตา ในการเล่น จรวดขวดน้ำ PET

8. ไม่ยิง จรวดขวดน้ำ PET ในบริเวณใกล้เคียงกับสนามบิน หรือที่ที่มีการขึ้นลงของเครื่องบินโดยสาร หรือเครื่องบินขนาดเล็ก

9. ก่อนสูบลมเข้าไปใน จรวดขวดน้ำ ให้ตรวจสอบระบบล็อคให้เรียบร้อยแน่นหนา

10. ในขณะสูบลม อย่าให้มีคนขวางเส้นทางของ จรวดขวดน้ำ เนื่องจาก จรวดขวดน้ำ อาจหลุดออกจากฐานได้ โดยไม่ตั้งใจ

11. หมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ของ ฐานยิงจรวดขวดน้ำ , อุปกรณ์สูบลม และส่วนประกอบต่างๆ ของ จรวดขวดน้ำ อย่างสม่ำเสมอ ของแต่ละชิ้น จะมีอายุการใช้งานต่างกัน และมีขีดจำกัดในการรับแรงต่างกัน เมื่อใช้ไปหลายๆ ครั้ง อาจเกิดการเสื่อมสภาพขี้นได้

12. ระมัดระวังเมื่อมีการใช้แรงดันสูงๆ ในการยิง จรวดขวดน้ำ

13. ใช้วิจารณญาณในการเล่นตลอดเวลา (อย่าประมาทจ้า!)

วิธีการทําเทียนไข


วิธีทำเทียนเบื้องต้น

วิธีทำ
ผสมพาราฟิน และแว๊กซ์ในสัดส่วนที่เท่ากัน ( ถ้าชั่งเป็นน้ำหนักให้ใช้ สัดส่วนพาราฟิน 100 กรัม ต่อแว๊กซ์ 30 กรัม) ต้มจนหลอมละลายเข้ากัน ผสมสี (ให้ แผ่นสีเทียน หรือสีมัตสุตะ) ผสมให้เข้ากันดี ยกหม้อลงจากเตา ใส่หัวน้ำ หอม กลิ่นที่ชอบ ทิ้งให้ส่วนผสมเย็นลงเล็กน้อย (สังเกตุดูเทียนจะเริ่มขุ่น)
ใส่ไส้เทียน ในพิมพ์ให้ยาวพ้นพิมพ์ประมาณ 4 - 5 ซ.ม. เทเทียนที่ยังร้อนอยู่ ประมาณ 92 องศา) ลงในพิมพ์ ทิ้งให้เย็น จึงค่อยแกะออกจากพิมพ์

ข้อควรระวังขณะทำเทียน
1. ใช้หม้อ 2 ชั้นในการต้มเทียน ซึ่งจะเป็นวิธีที่ดี และปลอดภัย
2. อย่าต้มเทียนในอุณหภูมิที่สูงเกินกว่า 100 องศา เพราะน้ำเทียนจะติดไฟ ได้ง่าย
3. ถ้าเทียนที่กำลังต้มอยู่ติดไฟ ให้ปิดแก๊ส หรือดึงปลั๊กไฟออกทันทีอย่าเคลื่อน ย้ายหม้อต้ม หรือใช้น้ำดับไฟ (ถ้าต้องการดับไฟให้ปิดฝาหม้อหรือใช้ ผ้าชื้นๆ ปกคลุมฝาหม้อไว้)
4. ถ้าเทียนหกบนพื้นหรือโต๊ะ ต้องคอยจนกว่าเทียนเย็น หรือแข็งตัวแล้วขูดออก
5. อย่าเทเทียนเหลวลงในท่อน้ำ เพราะจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

ส่วนผสมเพิ่มเติม
สเตียริน (Stearin) คือ แว๊กซ์แข็งสีขาวใช้เป็นส่วนผสมของพาราฟีน ประมาณ 10% เพื่อเพิ่มการหดตัวในการทำเทียนหล่อ ทำให้เทียนหลุดจาก พิมพ์ง่าย เทียนจะเป็นเงา และมีสีสดใส
พี.อี. (Polyester Easterien) ใช้ 5% - 10% ของน้ำหนักพาราฟิน จะช่วยทำให้เทียนแข็งตัว และจุดติดไฟนานขึ้น ที่สำคัญ เมื่อจุดเทียน จะมี ควันน้อย
ขี้ผึ้ง (Beeswax) คือ แว๊กซ์ทำจากธรรมชาติมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ใช้ผสมกับพาราฟิน ประมาณ 1% เพื่อเพิ่มระยะเวลาผาไหม้ของเทียน และช่วยทำให้สีของเทียนสดขึ้น
สี ช่วยทำให้เทียนมีสีสวยน่าใช้ การใช้แผ่นสีเทียนช่วยให้สะดวกในการ ผสมสีเข้ากับเทียน หากใส่สีมาก สีจะเข้มมาก
หัวน้ำหอม ช่วยทำให้เทียนมีกลิ่นหอมน่าใช้ มีหลายกลิ่นให้เลือกใช้ เช่น กลิ่นกุหลาบ ส้ม สตรอเบอร์รี มะลิ ลาเวนเดอร์ กำยาน ฯลฯ เลือกใช้ได้ตาม สีของเทียน หรือโอกาส
(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความ "เทียนหอมแฟนซี" ของสำนัก พิมพ์แม่บ้าน)

การตกแต่งเทียนเพิ่มเติม
1. หั่นแผ่นสีเทียนเป็นชิ้นสามเหลี่ยม หรือสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แล้วโรยในพิมพ์ จากนั้นจึงเทเทียนที่ผสมแล้วลงพิมพ์ ควรใช้ชิ้นสีหลาย ๆ สี และเลือกสีที่เข้มกว่าสีเทียนที่จะเท เพื่อให้สีต่าง ๆ สามารถมองทะลุเทียน ออกมาได้
2. ตกแต่งพื้นผิวด้านนอกของเทียนด้วยเทียนแฟนซีที่เป็นรูปดอกไม้ หรือรูปทรงอื่น ให้ตกแต่งทีละด้าน จุ่มเทียนแฟนซีในน้ำเทียนบาง ๆ แล้วนำไปติดข้างในพิมพ์ด้านที่ต้องการตกแต่ง จากนั้นจึงเทเทียน ที่ผสมแล้วลงไป หรือวางชิ้นเทียนแฟนซีลงบนพิมพ์ด้านใน จากนั้นนาบด้วยมีด หรือโลหะที่ร้อนที่ด้านนอกของพิมพ์ เพียง 1 นาที ชิ้นเทียนแฟนซีก็จะติดที่พิมพ์ จากนั้นจึงเทเทียนที่ผสมแล้วลงไป
3. การทำเทียน 2 สี ให้เทเทียนสี ที่ 1 ลงไปในพิมพ์ ปล่อยให้เทียนเกือบแข็งตัว( สังเกตุดูเนื้อเทียนจะเป็นสีขุ่นมาก )แล้วเทเทียนสี ที่ 2 ลงไป อาจทำสลับกันเป็นชั้นๆ แต่ต้องทิ้งให้แต่ละชั้นเย็นตัวเสียก่อน แต่ไม่แข็ง
หมายเหตุ การทำเทียนสูตรอื่น ๆ อาจจะไม่มีการผสมแว็กซ์ (ไมโครแว็กซ์) ลงไป การผสมแว็กซ์จะช่วยทำให้เนื้อเทียนสวย เพิ่มระยะเวลา เผาไหม้ของเทียนให้นานขึ้น

วิธีการทำ เทียนหอม


วิธีการทำ เทียนหอม

วัสดุ วัตถุดิบหลักที่สำคัญ ได้แก่ พาราฟิน โพลีเอสเตอร์ น้ำหอม ไส้เทียน และสีเคลือบดอก โดยแหล่ง Supplier ที่สำคัญจะอยู่ในประเทศจีนและไต้หวัน

ขั้นตอนและกระบวนการผลิตเทียนหอม

สำหรับกระบวนการผลิตและขั้นตอนการผลิตสามารถจัดลำดับแผนกของการผลิตได้ดังนี้


1.พาราฟิน 1 กก.

2.บีแวกซ์ 1 ขีด

3.เทียนเหนียว 1 ขีด

4.สีเทียน หรือ สีน้ำมันผง

5.ใส้เทียน

6.หัวน้ำหอมกลิ่นที่ชอบ 15 cc

7.พิมพ์รูปต่างๆ

วิธีทำ เทียนหอม

นำพาราฟินใส่ภาชนะตั้งไฟละลายจากนั้นใส่บีแว็กซ์และเทียนลงไป พอละลายเข้ากันใส่สีเทียน หรือสีน้ำมันผงให้สีอ่อนเข้มตามต้องการตักหยอดใส่พิมพ์เมื่อเทียนเริ่มแข็งตัว ใส่ใส้เทียนที่เตรียมไว้

วิธีทำใส้เทียนให้แข็ง ทำได้โดยนำฝ้ายดิบสำหรับทำใส้เทียนจุ่มลงในพาราฟิน ที่ต้มละลายแล้ว
จากนั้นดึงใส้เทียนให้ตึง พอแห้งจะได้ใส้เทียนเป็นเส้นตรง จากนั้นตัดตามยาวตามต้องการ

จากนั้นตัดใส้เทียนให้หมดไห้เหลือแต่เชือกใส้เทียน(คนโง่เท่านั้นที่ตัด)จากนั้นทำใหม่ แล้วเอาอุปกรมาตามที่บอกนั้นแหละจากนั้นลองจุดไฟดูว่าติดหรือป่าวถ้าไม่ติดจุดไป เรื่อยๆจนกว่าจะติดจนกว่าแก็สจะหมด

วิธีการทําสบู่


มีวิธีทำสบู่มาบอก เผื่อคัยจะเอาไปทำงานหรือเอาไปลองทำดูก้อได้นะคับบบ
เป็นที่ทราบกันดีว่าสบู่ช่วยรักษาความสะอาดให้ร่างกาย และสิ่ง อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ความสะอาดช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค การทำสบู่ใช้เองภายในบ้านสามารถทำได้โดยอาศัยส่วนประกอบที่สำคัญคือ ไขมันและน้ำด่าง
วิธีการทำสบู่ มีอยู่ 2 วิธีคือ
วิธีที่ 1 ใช้น้ำด่างสำเร็จรูปในท้องตลาด หากสามารถหาซื้อน้ำด่าง สำเร็จรูปได้ง่ายในท้องตลาด
วิธีที่ 2 ใช้น้ำด่างจากการชะล้างขี้เถ้า วิธีนี้ได้แบบอย่างมาจากผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือรุ่นแรก ๆ
ส่วนผสมของสบู่
1. ไขมันและน้ำมัน อาจเป็นไขมันสัตว์หรือน้ำมันพืชก็ได้ แต่น้ำมันจากแร่ธาตุใช้ไม่ได้ ไขมันสัตว์ เช่น ไขวัว กระบือ น้ำมันหมู ฯลฯ ไขมัน พืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ข้าวโพด เมล็ดฝ้าย ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และน้ำมันละหุ่ง ฯลฯ
2. น้ำด่าง น้ำด่างสำเร็จรูปที่ขายในท้องตลาดเรียกว่า โซดาไฟ หรือผลึกโซดา หรือผลึกโซเดียมไฮดรอกไซด์ ราคาถูกมีขายทั่วไป หรือน้ำ ด่างที่ได้จากการชะล้างขี้เถ้าเรียกว่า โพแทช
3. บอแร็กซ์ สารบอแร็กซ์นี้ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่สารนี้ช่วยให้ สบู่มีสีสันสวยงามและทำให้เกิดฟองมาก มีจำหน่ายตามร้านขายยา หรือร้านขายของชำ มีชื่อเรียกว่า ผงกรอบ หรือผงนิ่ม ส่วนใหญ่บรรจุในถุง พลาสติก
4. น้ำหอม น้ำหอมก็ไม่จำเป็นต้องใช้เช่นกัน แต่ถ้าใช้จะทำให้สบู่ มีกลิ่นดีขึ้น ถ้าไขมันที่ใช้ทำสบู่นั้นเหม็นอับ ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดผสม จะช่วยให้กลิ่นหอมยิ่งขึ้นและไม่เน่า
5. น้ำ น้ำที่ใช้ทำสบู่ได้ดีต้องเป็นน้ำอ่อน ถ้าเป็นน้ำกระด้างจะทำ ให้สบู่ไม่เกิดฟอง จึงขจัดความสกปรกไม่ได้ ควรทำให้น้ำนั้นหายกระด้าง เสียก่อน โดยเติมด่างประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร) ต่อน้ำกระด้าง 1 แกลลอน (3.8 ลิตร) คนให้เข้ากัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน จึงเท เอาส่วนบนออกมา ส่วนน้ำและตะกอนที่ก้นภาชนะเททิ้งไปได้ น้ำที่เหมาะ ในการทำสบู่มากที่สุดคือน้ำฝน
การทำสบู่จากน้ำด่างสำเร็จรูปในท้องตลาด
อุปกรณ์
- ถ้วย ถังหรือหม้อที่ทำด้วยเหล็กหรือหม้อดินก็ได้ แต่ อย่าใช้หม้ออะลูมิเนียม เพราะด่างจะกัด
- ถ้วยตวงที่ทำด้วยแก้วหรือกระเบื้องเคลือบ
- ช้อนกระเบื้องเคลือบหรือช้อนไม้ และใบพายหรือกิ่งไม้ ขนาดเล็กสำหรับคน
- แบบพิมพ์สบู่อาจจะทำด้วยแผ่นไม้หรือกระดาษแข็งก็ ได้ ขนาดของแบบพิมพ์จะใช้กว้างหรือยาวตามต้อง การ แต่ส่วนลึกควรจะเป็น 2-3 นิ้ว ดีที่สุด
- ผ้าฝ้ายหรือกระดาษมันสำหรับรองรับสบู่ในแบบพิมพ์ โดยตัดผ้าหรือกระดาษออกเป็น 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งกว้าง กว่าเล็กน้อย อีกชิ้นหนึ่งยาวกว่าแบบเล็กน้อย ใช้ สำหรับช่วยยกสบู่ออกจากแบบพิมพ์ง่ายขึ้น
อัตราส่วนของส่วนผสมที่ใช้ในการทำสบู่ได้ประมาณ 4 กิโลกรัม
น้ำมันหรือไขแข็งสะอาด 3 ลิตร หรือ 2.75 กก.
บอแร็กซ์ 57 มิลลิลิตร (1/4 ถ้วย)
ผลึกโซดาหรือน้ำด่าง 370 กรัม
น้ำ 1.2 ลิตร
น้ำหอม (เลือกกลิ่นตามต้องการ) 1-4 ช้อนชา
ขั้นตอนในการทำสบู่
1. เตรียมไขมัน ถ้าไขมันไม่สะอาด ควรทำให้สะอาดเสียก่อน โดยเอาไปต้มกับน้ำในปริมาณที่เท่ากันในกาต้มน้ำ เมื่อเดือดแล้วส่วน ผสมผ่านผ้าบาง ๆ หรือตะแกรงสำหรับกรองลงในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วเติมน้ำเย็นลงไป 1 ส่วนต่อส่วนผสม 4 ส่วน ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นโดยไม่ ต้องคน ถ้าจะให้สะอาดยิ่งขึ้นควรใส่มันเทศที่หั่นเป็นแว่นลงไปก่อน ที่จะต้มส่วนผสม
2. เตรียมน้ำด่างผสม ทำได้โดย ตวงน้ำตามปริมาณที่ต้องการ แล้วค่อย ๆ เติมด่าง (ผลึก โซดา) ที่จะใช้ลงไปในน้ำ ไม่ควรเติมน้ำลงไปในด่าง เพราะจะเกิดความร้อน และกระเด็นทำให้เปรอะเปื้อนได้ แล้วปล่อยให้น้ำด่างผสมนี้เย็นลงจนปกติ
3. ค่อย ๆ เติมน้ำด่างผสมนี้ลงไปในไขมันที่ละลายแล้วในข้อ 1 ขณะที่เติมนี้ต้องคนส่วนผสมทั้งหมดนี้อย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอในทิศทาง เดียวกัน จนกว่าส่วนผสมจะข้นตามปกติ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ช่วงนี้ เติมน้ำหอมที่เตรียมไว้ลงไปได้ หลังจากนั้นปล่อยไว้ 15-20 นาที จึงค่อย คนหนึ่งครั้ง ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง เมื่อส่วนผสมเหนียวดีแล้วจึงเทลงในแบบ พิมพ์ ซึ่งมีผ้าหรือกระดาษมันรองอยู่
4. หาฝาครอบแบบพิมพ์ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน ไม่ควรมีการ เคลื่อนย้ายหรือถูกกระทบกระเทือน สบู่จะยึดกันแน่นสามารถเอาออกจาก แบบพิมพ์ได้
5. เมื่อสบู่แข็งตัวดีแล้ว นำออกจากแบบพิมพ์ แล้วใช้เส้นลวดหรือ เส้นเชือกตัดสบู่ออกเป็นชิ้น ๆ ตามขนาดที่ต้องการ แล้วนำไปวางเรียงไว้ให้ อยู่ในลักษณะที่ลมพัดผ่านได้ทั่วถึงในบริเวณที่อุ่นและแห้ง ปล่อยไว้ 2-4 สัปดาห์ ก็นำไปใช้ได้
การทดสอบว่าสบู่จะดีหรือไม่
- สบู่ที่ดีควรจะแข็ง สีขาว สะอาด กลิ่นดีและไม่มีรส สามารถขูด เนื้อสบู่ออกเป็นแผ่นโค้ง ๆ ได้
- ไม่มันหรือลื่นจนเกินไป เมื่อใช้ลิ้นแตะดูไม่หยาบหรือสาก
การปรับปรุงสบู่ให้ดีขึ้น
ถ้าสบู่ที่ผ่านขั้นตอนตามเวลาที่ทำทุกช่วงแล้ว แต่ยังมีส่วนผสมบาง ส่วนไม่แข็งตัวหรือแยกกันอยู่ หรือไม่ดีเพราะสาเหตุใดก็ตาม อาจแก้ไขให้ดี ขึ้นดังนี้
- ตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำบรรจุอยู่ 2.8 ลิตร พร้อมทั้งเทส่วนที่เป็นของเหลวที่เหลืออยู่ในแบบพิมพ์ลงไปด้วย
- นำไปต้มนานประมาณ10 นาที อาจเติมน้ำมะนาวหรือน้ำมัน อื่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมลงไปในส่วนผสมประมาณ 2 ช้อนชา (ถ้ายังไม่ได้เติม)ต่อจากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบพิมพ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ปล่อยไว้ 2 อัน แล้วดำเนินการตามที่กล่าวมาแล้ว
การทำสบู่จากน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้า
เริ่มต้นด้วยการทำน้ำด่างขึ้นเองจากขี้เถ้า
อุปกรณ์
1. เครื่องมือสำหรับการชะล้างน้ำด่าง ประกอบด้วยก้อนหิน ขนาดย่อม ๆ หลายก้อน
- แผ่นหินราบมีร่องน้ำให้ไหลได้
- ถังไม้ขนาดจุ 19 ลิตร มีรูเล็ก ๆ หลายรูติดอยู่ก้นถัง
- ภาชนะรองน้ำด่าง ไม่ควรใช้ภาชนะที่ทำด้วยอะลูมิเนียม เพราะน้ำด่างจะกัด
- กิ่งไม้เล็ก ๆ และฟาง
- ขี้เถ้า 19 ลิตร ซึ่งได้จากการเผาไหม้ทุกชนิด ขี้เถ้าจาก ไม้เนื้อแข็งจะใช้ทำน้ำด่างได้ดีที่สุด สำหรับชนบทแถบ ชายทะเล ขี้เถ้าจากการเผาสาหร่ายทะเลใช้ได้ดีมาก เพราะมีธาตุโซเดียมทำให้สบู่แข็งตัวได้ดี
- น้ำอ่อนปริมาณ 7.6 ลิตร
2. วิธีการชะล้างขี้เถ้าทำน้ำด่าง
- ตั้งอุปกรณ์ดังแสดงในรูป โดยที่ก้นของถังทำเป็นที่กรอง ขี้เถ้า ใช้กิ่งไม้ไข้วกัน 2 กิ่ง เรียงเป็นแถว แล้วเอาฟางวางลงบนกิ่ง
- ใส่ขี้เถ้าลงในถัง แล้วเทน้ำอุ่นลงในถังเพื่อให้ขี้เถ้าเปียก และเหนียว เกลี่ยให้เกิดหลุมตรงกลาง แล้วค่อย ๆ เทน้ำส่วนที่เหลือลงในหลุมนั้น ปล่อยให้น้ำซึมแล้วเติมน้ำอีก น้ำด่างสีน้ำตาลจะไหลลงสู่ส่วนล่าง ของถัง นานประมาณ 1 ชม. น้ำด่างที่ได้จะมีปริมาณ 1.8 ลิตร ถ้าน้ำด่างที่ มีความเข้มข้นดีแล้ว ทดสอบได้โดยเอาไข่ไก่หรือมันฝรั่งใส่ลงไป ไข่หรือมัน จะลอยได้ หรือถ้าจุ่มขนไก่ลงไป น้ำด่างจะเกาะติดแต่ไม่กัดขนไก่ให้หลุด ถ้าน้ำด่างอ่อนไป ควรเทกลับคืนถังอีกครั้ง หรือเคี่ยวให้ข้นด้วยการต้ม
- ส่วนการทำสบู่ในขั้นต่อไปนั้นดำเนินการเช่นเดียวกันกับ วิธีแรก
ข้อควรระวังในการใช้น้ำด่าง
น้ำด่างนี้เป็นพิษเพราะกัดผิวหนังและทำให้เกิดแผลร้ายแรงได้ ฉะนั้น ไม่ควรให้ถูกผิวหนัง ถ้าถูกต้องรีบล้างทันทีด้วยน้ำเปล่า แล้วล้างด้วย น้ำส้มอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ากลืนน้ำด่างลงไป ให้รีบดื่มน้ำส้ม น้ำมะนาวหรือมะกรูดตามลงไป ให้มาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์ ดังนั้นควรเก็บน้ำด่างให้พ้นมือเด็ก
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจนะคับ
การทดสอบว่าสบู่จะดีหรือไม่
- สบู่ที่ดีควรจะแข็ง สีขาว สะอาด กลิ่นดีและไม่มีรส สามารถขูด เนื้อสบู่ออกเป็นแผ่นโค้ง ๆ ได้
- ไม่มันหรือลื่นจนเกินไป เมื่อใช้ลิ้นแตะดูไม่หยาบหรือสาก
การปรับปรุงสบู่ให้ดีขึ้น
ถ้าสบู่ที่ผ่านขั้นตอนตามเวลาที่ทำทุกช่วงแล้ว แต่ยังมีส่วนผสมบาง ส่วนไม่แข็งตัวหรือแยกกันอยู่ หรือไม่ดีเพราะสาเหตุใดก็ตาม อาจแก้ไขให้ดี ขึ้นดังนี้
- ตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำบรรจุอยู่ 2.8 ลิตร พร้อมทั้งเทส่วนที่เป็นของเหลวที่เหลืออยู่ในแบบพิมพ์ลงไปด้วย
- นำไปต้มนานประมาณ10 นาที อาจเติมน้ำมะนาวหรือน้ำมัน อื่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมลงไปในส่วนผสมประมาณ 2 ช้อนชา (ถ้ายังไม่ได้เติม)ต่อจากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบพิมพ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ปล่อยไว้ 2 อัน แล้วดำเนินการตามที่กล่าวมาแล้ว
การทำสบู่จากน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้า
เริ่มต้นด้วยการทำน้ำด่างขึ้นเองจากขี้เถ้า
อุปกรณ์
1. เครื่องมือสำหรับการชะล้างน้ำด่าง ประกอบด้วยก้อนหิน ขนาดย่อม ๆ หลายก้อน
- แผ่นหินราบมีร่องน้ำให้ไหลได้
- ถังไม้ขนาดจุ 19 ลิตร มีรูเล็ก ๆ หลายรูติดอยู่ก้นถัง
- ภาชนะรองน้ำด่าง ไม่ควรใช้ภาชนะที่ทำด้วยอะลูมิเนียม เพราะน้ำด่างจะกัด
- กิ่งไม้เล็ก ๆ และฟาง
- ขี้เถ้า 19 ลิตร ซึ่งได้จากการเผาไหม้ทุกชนิด ขี้เถ้าจาก ไม้เนื้อแข็งจะใช้ทำน้ำด่างได้ดีที่สุด สำหรับชนบทแถบ ชายทะเล ขี้เถ้าจากการเผาสาหร่ายทะเลใช้ได้ดีมาก เพราะมีธาตุโซเดียมทำให้สบู่แข็งตัวได้ดี
- น้ำอ่อนปริมาณ 7.6 ลิตร
2. วิธีการชะล้างขี้เถ้าทำน้ำด่าง
- ตั้งอุปกรณ์ดังแสดงในรูป โดยที่ก้นของถังทำเป็นที่กรอง ขี้เถ้า ใช้กิ่งไม้ไข้วกัน 2 กิ่ง เรียงเป็นแถว แล้วเอาฟางวางลงบนกิ่ง
- ใส่ขี้เถ้าลงในถัง แล้วเทน้ำอุ่นลงในถังเพื่อให้ขี้เถ้าเปียก และเหนียว เกลี่ยให้เกิดหลุมตรงกลาง แล้วค่อย ๆ เทน้ำส่วนที่เหลือลงใน หลุมนั้น ปล่อยให้น้ำซึมแล้วเติมน้ำอีก น้ำด่างสีน้ำตาลจะไหลลงสู่ส่วนล่าง ของถัง นานประมาณ 1 ชม. น้ำด่างที่ได้จะมีปริมาณ 1.8 ลิตร ถ้าน้ำด่างที่ มีความเข้มข้นดีแล้ว ทดสอบได้โดยเอาไข่ไก่หรือมันฝรั่งใส่ลงไป ไข่หรือมัน จะลอยได้ หรือถ้าจุ่มขนไก่ลงไป น้ำด่างจะเกาะติดแต่ไม่กัดขนไก่ให้หลุด ถ้าน้ำด่างอ่อนไป ควรเทกลับคืนถังอีกครั้ง หรือเคี่ยวให้ข้นด้วยการต้ม
- ส่วนการทำสบู่ในขั้นต่อไปนั้นดำเนินการเช่นเดียวกันกับ วิธีแรก
ข้อควรระวังในการใช้น้ำด่าง
น้ำด่างนี้เป็นพิษเพราะกัดผิวหนังและทำให้เกิดแผลร้ายแรงได้ ฉะนั้น ไม่ควรให้ถูกผิวหนัง ถ้าถูกต้องรีบล้างทันทีด้วยน้ำเปล่า แล้วล้างด้วย น้ำส้มอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ากลืนน้ำด่างลงไป ให้รีบดื่มน้ำส้ม น้ำมะนาวหรือมะกรูดตามลงไป ให้มาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์ ดังนั้นควรเก็บน้ำด่างให้พ้นมือเด็ก

วิธีการทำ เผือกเชื่อม


ส่วนผสม

เผือกหอมปอกหั่นเป็นชิ้นใหญ่ 500 กรัม
น้ำปูนใส 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
น้ำเปล่า 1 ถ้วย


1. น้ำเผือกที่หั่นแล้วลงแช่น้ำปูนใสประมาณ 15 นาที ระหว่างนี้ก็เคี่ยวน้ำเชื่อมไว้รอ โดยใช้น้ำตาลกับน้ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ตั้งไฟพอเดือดก็หรี่ไฟลงให้เหลือแค่ไฟกลาง

Soak cut taro in red lime water for 15 minutes. In the meantime, bring sugar and water to the boil to make syrup. When the mixture boil turn down the heat to medium low and continue to simmer until the syrup slightly thicken.



2. ใส่เผือกลงในน้ำเชื่อม เคี่ยวไฟกลางไปเรื่อยๆ ประมาณ 45 นาที กลับเผือกบ้าง จะได้สุกทั่วกัน

Add the soaked taro to the syrup. Simmer over medium heat for 45 minute. Turn the taro, occasionally.



3. พอเผือกเริ่มฉ่ำน้ำเชื่อม โรยน้ำตาลอีก 2-3 ช้อนโต๊ะลงไป น้ำตาลที่ใส่จะทำให้เผือกรัดตัวยิ่งขึ้น และทำให้เป็นเงาน่าทาน เคี่ยวต่ออีก 10 นาที ก็ปิดไฟได้

When the taro changes to deeper color, sprinkle with additional 2-3 tbsp. for the firmness of the taro and shiny. Continue to simmer for another 10 minutes. Turn down the heat



4. ตักเสิร์ฟ

Ready to serve.