ประวัติจังหวัดตรัง
จังหวัดตรัง เป็นจังหวัดหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ จึงไม่มีประวัติในสมัยโบราณก่อนหน้านั้น และเข้าใจว่าในแผ่นดินพระบรมไตรโลกนารถครั้นกรุงศรีอยุธยานั้น เมืองตรังยังไม่มี เพราะพระธรรมนูญกล่าวถึงหัวเมืองฝ่ายใต้มีเพียง นครศรีธรรมราช พัทลุง ไชยา เพชรบุรี กุย ปราณ ครองวาฬ บางสะพาน ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า ตะนาวศี ทะวาย มะริด และสามโคก ดังนั้นเมืองตรังแต่เดิมมา น่าจะเป็นเพียงทางผ่านไปยังเมืองนครศรีธรรมราช และเมืองพัทลุงเท่านั้น ต่อมาเมื่อผู้คนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนมากขึ้นจึงเกิดเมืองในตอนหลัง
เท่าที่พบหลักฐานความเป็นมาของจังหวัดตรัง เริ่มแรกได้จากศิลาจารึกที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้จารึกโดยพระเจ้าจันทรภาณุ หรือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๑๗๗๓ ซึ่งเป็นสมัยที่เมืองนครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองมาก ได้จารึกว่าอาณาจักรนครศรีธรรมราชมีหัวเมืองรายล้อมอยู่ถึง ๑๒ หัวเมือง ได้กำหนดใช้รูปสัตว์ตามปีนักษัตรเป็นตราประจำเมือง เรียกว่าการปกครองแบบ ๑๒ นักษัตร โดยเมืองตรังใช้ตราม้า (ปีมะเมีย) เป็นตราประจำเมือง
แสดงว่าในปี พ.ศ.๑๗๗๓ มีเมืองตรังแล้วแต่ไม่ทราบว่าตั้งเมืองอยู่ที่ใด ในพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าว ว่าเมื่อปี พ.ศ.๑๔๙๓ พระยากุมารกับนางเลือดขาวไปลังกา ทั้งขาไปและขามาได้แวะที่เมืองตรัง เพราะเป็น เมืองท่า นางเลือดขาวยังได้สร้างพระพุทธรูปและวัดพระพุทธสิหิงค์ไว้ที่เมืองตรัง
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี เมืองตรังมีชื่อเป็นหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช ครั้น ถึงปี พ.ศ.๒๓๔๗ รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โปรดฯ ให้ยกเมืองตรังขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ ชั่วคราว เนื่องจากผู้รักษาเมืองตรังเป็นอริกับเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นให้ไปขึ้นกับเมืองสงขลาระยะ หนึ่ง จนถึง พ.ศ.๒๓๕๔ จึงกลับไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชดังเดิม และได้มีการตั้งเมืองตรังขึ้นเป็นครั้งแรกโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ทรงแต่งตั้งพระอุไภยธานีเป็นเจ้าเมืองตรังคนแรก และได้มีการสร้างหลักเมืองตรังไว้ที่ ควนธานี
พ.ศ.๒๓๘๑ ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น ทางเมืองตรังและหัวเมืองปักษ์ใต้หลายเมือง ต่อมาจึงได้โอนเมืองตรังมาขึ้นต่อกรุงเทพฯ อยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงใหญ่หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองตรังจนถึง พ.ศ.๒๔๒๘ เมืองตรังจึงได้กลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงใหญ่ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ภูเก็ต และเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลเมืองตรังจึงถูกรวม เข้าเป็นหัวเมืองหนึ่งของมณฑลภูเก็ต
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสหัว เมืองปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ ทรงเห็นเมืองตรังมีสภาพทรุดโทรม จึงทรงโปรดฯ ให้พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) มาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรัง และสร้างความเจริญให้แก่ตรังอย่างมากมาย โดยย้ายเมืองตรังมาตั้งที่ อำเภอกันตัง ปากแม่น้ำตรัง โดยรวมเอาเมืองตรังและปะเหลียนเข้าด้วยกัน และพัฒนาเป็นเมืองท่าการค้าและยังได้ส่งเสริมให้มีการปลูกยางพาราที่จังหวัดตรังเป็นแห่งแรก
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าที่ตั้งตัวเมืองตรังเดิม คือ เมืองกันตังไม่ปลอดภัยจากศัตรู ไม่เป็นศูนย์กลางของจังหวัด ทั้งยังเป็นที่ลุ่มมาก น้ำทะเลท่วมถึง จะขยายตัวเมืองได้ยาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองไปตั้งที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอบางรัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเมืองตรังมาจนทุกวันนี้ และเมื่อมีการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๖ เมืองตรังจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยครับ
โฆษณาต่อต้านคอร์ปชั่น
พระมหาสมปอง กล่าวเชิญชวนทุกๆ ท่านมาร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
วิธีการระงับอารมณ์โกรธ
ตอบแทนพระคุณบิดามารดา
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ประวัติจังหวัดตรัง
ประวัติจังหวัดตรัง
จังหวัดตรัง เป็นจังหวัดหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ จึงไม่มีประวัติในสมัยโบราณก่อนหน้านั้น และเข้าใจว่าในแผ่นดินพระบรมไตรโลกนารถครั้นกรุงศรีอยุธยานั้น เมืองตรังยังไม่มี เพราะพระธรรมนูญกล่าวถึงหัวเมืองฝ่ายใต้มีเพียง นครศรีธรรมราช พัทลุง ไชยา เพชรบุรี กุย ปราณ ครองวาฬ บางสะพาน ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า ตะนาวศี ทะวาย มะริด และสามโคก ดังนั้นเมืองตรังแต่เดิมมา น่าจะเป็นเพียงทางผ่านไปยังเมืองนครศรีธรรมราช และเมืองพัทลุงเท่านั้น ต่อมาเมื่อผู้คนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนมากขึ้นจึงเกิดเมืองในตอนหลัง
เท่าที่พบหลักฐานความเป็นมาของจังหวัดตรัง เริ่มแรกได้จากศิลาจารึกที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้จารึกโดยพระเจ้าจันทรภาณุ หรือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๑๗๗๓ ซึ่งเป็นสมัยที่เมืองนครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองมาก ได้จารึกว่าอาณาจักรนครศรีธรรมราชมีหัวเมืองรายล้อมอยู่ถึง ๑๒ หัวเมือง ได้กำหนดใช้รูปสัตว์ตามปีนักษัตรเป็นตราประจำเมือง เรียกว่าการปกครองแบบ ๑๒ นักษัตร โดยเมืองตรังใช้ตราม้า (ปีมะเมีย) เป็นตราประจำเมือง
แสดงว่าในปี พ.ศ.๑๗๗๓ มีเมืองตรังแล้วแต่ไม่ทราบว่าตั้งเมืองอยู่ที่ใด ในพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าว ว่าเมื่อปี พ.ศ.๑๔๙๓ พระยากุมารกับนางเลือดขาวไปลังกา ทั้งขาไปและขามาได้แวะที่เมืองตรัง เพราะเป็น เมืองท่า นางเลือดขาวยังได้สร้างพระพุทธรูปและวัดพระพุทธสิหิงค์ไว้ที่เมืองตรัง
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี เมืองตรังมีชื่อเป็นหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช ครั้น ถึงปี พ.ศ.๒๓๔๗ รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โปรดฯ ให้ยกเมืองตรังขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ ชั่วคราว เนื่องจากผู้รักษาเมืองตรังเป็นอริกับเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นให้ไปขึ้นกับเมืองสงขลาระยะ หนึ่ง จนถึง พ.ศ.๒๓๕๔ จึงกลับไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชดังเดิม และได้มีการตั้งเมืองตรังขึ้นเป็นครั้งแรกโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ทรงแต่งตั้งพระอุไภยธานีเป็นเจ้าเมืองตรังคนแรก และได้มีการสร้างหลักเมืองตรังไว้ที่ ควนธานี
พ.ศ.๒๓๘๑ ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น ทางเมืองตรังและหัวเมืองปักษ์ใต้หลายเมือง ต่อมาจึงได้โอนเมืองตรังมาขึ้นต่อกรุงเทพฯ อยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงใหญ่หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองตรังจนถึง พ.ศ.๒๔๒๘ เมืองตรังจึงได้กลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงใหญ่ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ภูเก็ต และเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลเมืองตรังจึงถูกรวม เข้าเป็นหัวเมืองหนึ่งของมณฑลภูเก็ต
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสหัว เมืองปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ ทรงเห็นเมืองตรังมีสภาพทรุดโทรม จึงทรงโปรดฯ ให้พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) มาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรัง และสร้างความเจริญให้แก่ตรังอย่างมากมาย โดยย้ายเมืองตรังมาตั้งที่ อำเภอกันตัง ปากแม่น้ำตรัง โดยรวมเอาเมืองตรังและปะเหลียนเข้าด้วยกัน และพัฒนาเป็นเมืองท่าการค้าและยังได้ส่งเสริมให้มีการปลูกยางพาราที่จังหวัดตรังเป็นแห่งแรก
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าที่ตั้งตัวเมืองตรังเดิม คือ เมืองกันตังไม่ปลอดภัยจากศัตรู ไม่เป็นศูนย์กลางของจังหวัด ทั้งยังเป็นที่ลุ่มมาก น้ำทะเลท่วมถึง จะขยายตัวเมืองได้ยาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองไปตั้งที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอบางรัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเมืองตรังมาจนทุกวันนี้ และเมื่อมีการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๖ เมืองตรังจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยครับ
จังหวัดตรัง เป็นจังหวัดหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ จึงไม่มีประวัติในสมัยโบราณก่อนหน้านั้น และเข้าใจว่าในแผ่นดินพระบรมไตรโลกนารถครั้นกรุงศรีอยุธยานั้น เมืองตรังยังไม่มี เพราะพระธรรมนูญกล่าวถึงหัวเมืองฝ่ายใต้มีเพียง นครศรีธรรมราช พัทลุง ไชยา เพชรบุรี กุย ปราณ ครองวาฬ บางสะพาน ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า ตะนาวศี ทะวาย มะริด และสามโคก ดังนั้นเมืองตรังแต่เดิมมา น่าจะเป็นเพียงทางผ่านไปยังเมืองนครศรีธรรมราช และเมืองพัทลุงเท่านั้น ต่อมาเมื่อผู้คนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนมากขึ้นจึงเกิดเมืองในตอนหลัง
เท่าที่พบหลักฐานความเป็นมาของจังหวัดตรัง เริ่มแรกได้จากศิลาจารึกที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้จารึกโดยพระเจ้าจันทรภาณุ หรือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๑๗๗๓ ซึ่งเป็นสมัยที่เมืองนครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองมาก ได้จารึกว่าอาณาจักรนครศรีธรรมราชมีหัวเมืองรายล้อมอยู่ถึง ๑๒ หัวเมือง ได้กำหนดใช้รูปสัตว์ตามปีนักษัตรเป็นตราประจำเมือง เรียกว่าการปกครองแบบ ๑๒ นักษัตร โดยเมืองตรังใช้ตราม้า (ปีมะเมีย) เป็นตราประจำเมือง
แสดงว่าในปี พ.ศ.๑๗๗๓ มีเมืองตรังแล้วแต่ไม่ทราบว่าตั้งเมืองอยู่ที่ใด ในพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าว ว่าเมื่อปี พ.ศ.๑๔๙๓ พระยากุมารกับนางเลือดขาวไปลังกา ทั้งขาไปและขามาได้แวะที่เมืองตรัง เพราะเป็น เมืองท่า นางเลือดขาวยังได้สร้างพระพุทธรูปและวัดพระพุทธสิหิงค์ไว้ที่เมืองตรัง
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี เมืองตรังมีชื่อเป็นหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช ครั้น ถึงปี พ.ศ.๒๓๔๗ รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โปรดฯ ให้ยกเมืองตรังขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ ชั่วคราว เนื่องจากผู้รักษาเมืองตรังเป็นอริกับเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นให้ไปขึ้นกับเมืองสงขลาระยะ หนึ่ง จนถึง พ.ศ.๒๓๕๔ จึงกลับไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชดังเดิม และได้มีการตั้งเมืองตรังขึ้นเป็นครั้งแรกโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ทรงแต่งตั้งพระอุไภยธานีเป็นเจ้าเมืองตรังคนแรก และได้มีการสร้างหลักเมืองตรังไว้ที่ ควนธานี
พ.ศ.๒๓๘๑ ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น ทางเมืองตรังและหัวเมืองปักษ์ใต้หลายเมือง ต่อมาจึงได้โอนเมืองตรังมาขึ้นต่อกรุงเทพฯ อยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงใหญ่หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองตรังจนถึง พ.ศ.๒๔๒๘ เมืองตรังจึงได้กลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงใหญ่ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ภูเก็ต และเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลเมืองตรังจึงถูกรวม เข้าเป็นหัวเมืองหนึ่งของมณฑลภูเก็ต
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสหัว เมืองปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ ทรงเห็นเมืองตรังมีสภาพทรุดโทรม จึงทรงโปรดฯ ให้พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) มาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรัง และสร้างความเจริญให้แก่ตรังอย่างมากมาย โดยย้ายเมืองตรังมาตั้งที่ อำเภอกันตัง ปากแม่น้ำตรัง โดยรวมเอาเมืองตรังและปะเหลียนเข้าด้วยกัน และพัฒนาเป็นเมืองท่าการค้าและยังได้ส่งเสริมให้มีการปลูกยางพาราที่จังหวัดตรังเป็นแห่งแรก
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าที่ตั้งตัวเมืองตรังเดิม คือ เมืองกันตังไม่ปลอดภัยจากศัตรู ไม่เป็นศูนย์กลางของจังหวัด ทั้งยังเป็นที่ลุ่มมาก น้ำทะเลท่วมถึง จะขยายตัวเมืองได้ยาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองไปตั้งที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอบางรัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเมืองตรังมาจนทุกวันนี้ และเมื่อมีการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๖ เมืองตรังจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยครับ
มีดพร้านาป้อ
ผ้าทอนาหมื่นศรี
เค้กเมืองตรัง

เค้กเมืองตรัง
เป็นขนมที่ทำมากันแต่ดั้งเดิม ต้นกำเนิดอยู่ที่ ต.ลำภูรา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วประเทศ ด้วยรสหอมหวานกลมกล่อมอย่างมีเอกลักษณ์ มีหลายรสหลายกลิ่นหลายเจ้าให้เลือกได้ ตามใจชอบบรรจุกล่องสวยงาม ซึ่งมีหลากหลายรส เช่น เค้กใบเตย เค้กกล้วยหอม เค้กส้ม เค้กกาแฟ เค้กสามรส สามารถหาซื้อได้ที่ลำภูรา หรือในตัวเมืองก็มีขาย ราคาประมาณเป็นกันเอง
หมูย่างสูตรเมืองตรัง

หมูย่างสูตรเมืองตรัง
อาหารอร่อยที่เชิดหน้าชูตาของชาวตรังอีกอย่างหนึ่ง ที่หลายๆ คนรู้จักกันดี หนังกรอบเนื้อหอมนุ่ม รสชาติอร่อยมีกรรมวิธีหมัก ใส่เครื่องปรุงตลอดจนถึงการคัดเลือกหมูเพื่อมาย่าง อย่างพิถีพิถันหมูย่างนี้นอกจากใช้แกล้มกาแฟแล้ว ยังใช้ขึ้นโต๊ะไม่ว่างานแต่งงาน งานตรุษสารท งานเลี้ยงต่างๆ แม้แต่งานศพและพิธีเซ่นไหว้ทั้งหลาย เป็นของฝากอิ่มท้องของฝากนี้มีข้อแม้ว่าต้องนำไปฝากให้ถึงมือภายในครึ่งวัน มิฉะนั้นจะคลายร้อนเสียอรรถรส ทางที่ดีให้ชักชวนกันมารับประทานที่ร้านจะเข้าทีได้รสดีกว่ากันเยอะ รับรองไม่ผิดหวังสูตรเมืองตรังเป็นหนึ่งแน่แท้
ร้านกาแฟ

ร้านกาแฟ
เมืองตรัง เมืองคนช่างกิน ถนนทุกสายในเมืองตรังมีร้านกาแฟเปิดบริการอยู่แทบทุกสาย บางร้านเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ร้านกาแฟที่เมืองตรังนี้ การบริการจัดว่าพิเศษกว่าที่อื่นอยู่มากๆ คือ มีบริการขนมกับแกล้ม ซึ่งเรียกว่า "เครื่องเคียง" นับสิบๆ อย่างมาให้ลิ้มลองตั้งแต่ ขนมจีบ ซาลาเปา ขนมประเภทนึ่ง ทอดร้อนๆ เช่น ปาท่องโก๋ จาก๊วย(หรือที่เรียกปาท่องโก๋) ซึ่งบางร้านอาจจะมี หมูย่าง สูตรชาวตรังให้ลิ้มลอง เป็นรายการ พิเศษอีกบรรดาอาหารเครื่องเคียงที่พนักงานเสริฟ ยกมาให้จนเต็มโต๊ะนั้น จะคิดราคาเท่าที่กินเท่านั้น เรียกว่ากินกี่ชิ้นกี่อย่างก็คิดราคาตามนั้น
อนุสาวรีย์พระรัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี

อนุสาวรีย์พระรัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี
ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองตรัง ทางไปจังหวัดพัทลุง ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร ผู้ที่เดินทางไปถึงจังหวัดตรังทุกคนมักแวะไปทำความเคารพอนุสาวรีย์ของท่าน บริเวณนั้นแต่เดิมเป็นที่ตั้งพระตำหนักผ่อนกาย ซึ่งจัดรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ปัจจุบันได้ตกแต่งเป็นสวนสาธารณะอันร่มรื่น เวลาเย็นๆ มีประชาชนไปพักผ่อนเป็นจำนวนมาก พระยารัษฎาฯ ได้สร้างและทำนุบำรุงความเจริญแก่จังหวัดตรังไว้มาก เช่น ด้านคมนาคมในจังหวัดตรัง ด้านเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ ด้านการศึกษา การปกครอง นโยบายรักษาความสงบและการสาธารณสุข ฯลฯ และเป็นผู้นำต้นยางต้นแรกที่ปลูกในจังหวัดตรัง จนแพร่หลายไปทั่วภาคใต้
สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95
สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95

"สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 เทศบาลนครตรัง"
สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 เทศบาลนครตรัง"
นับเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองตรัง ที่ยังคงสภาพความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บนเนื้อที่กว่า 280 ไร่ มีลักษณะคล้ายเหยือกแก้วหรือแจกันที่คอดกลาง สภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม และป่าราโพ เดิมชาวบ้านเรียกว่า "ทุ่งนํ้าผุด” และเกาะกลางนํ้าที่มองดูคล้ายเนินเขา ซึ่งเทศบาลนครตรังได้เนรมิตให้เป็นสวนสาธารณะ สถานที่ออกกำลังกาย และพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน

ปัจจุบันสวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 ได้รับการปรับปรุงด้วยการขุดลอกสระ สร้างเรือนเพาะชํา สะพานแขวนเชื่อมเกาะกลางนํ้า อาคารชมวิว ศาลาพักผ่อน ลานอเนกประสงค์ ป้อมยาม ห้องสุขา อาคารสูบนํ้า ตั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่าง และถนนลาดยางโดยรอบ
ทําให้สวนสาธารณะแห่งนี้มีความสวยสดงดงาม และกลายเป็นสถานที่ยอดนิยมของประชาชน ที่พากันมาใช้ออกกําลังกาย และนั่งชมวิวทิวทัศน์กันเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน เพราะนอกจากทัศนียภาพที่เขียวชะอุ่ม เพราะพันธุ์พืชนานาชนิดในเวิ้งทุ่งกว้าง แล้ว สวนสาธารณะแห่งนี้ยังเป็นที่พักอาศัยของสัตว์นํ้าน้อยใหญ่ ป่าราโพที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ เป็นที่อาศัยของบรรดานกนานาชนิด
ใครที่มีโอกาสแวะเวียนเข้าชมความงามภายในสวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 เทศบาลนครตรัง เชื่อเหลือเกินว่าชีวิตจะได้รับการต่อเติมให้ยืนยาวขึ้นอีก เพราะจะได้รับความสุขทั้งกายและใจ หลายคนที่เดินลัดเลาะผ่านทุ่งป่าราโพ สามารถเพลิดเพลินกับความเขียวขจีของแมกไม้ และชมนกหลากชนิดส่งเสียงร้องกังวานไปทั้งทุ่ง
นายชาลี กางอิ่ม นายกเทศมนตรีเทศบาลนครตรัง กล่าวว่า ขณะนี้ได้รณรงค์ให้สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เนื่องจากสภาพธรรมชาติภายในยังคงความสมบูรณ์ โดยเฉพาะระบบนิเวศของป่าราโพ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนก จึงสมควรอนุรักษ์ให้เป็นที่อยู่อาศัยของนกสืบไป และเชื่อเหลือเกินว่าในอนาคตจะเป็นแหล่งรวมนกนานาชนิด โดยเฉพาะนกน้ำที่อพยพมาตามฤดูกาลอีกด้วย
จากการที่บริษัท แอ็ดวานซ์ ไทยแลนด์ จีโอกราฟฟิค จำกัด เข้ามาสํารวจ ทำให้ทราบว่า ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้มีนกอาศัยอยู่ตลอดทั้งปี และเป็นนกมาอาศัยตามฤดูกาลกว่า 30 ชนิด อาทิ นกหนูแดง นกอัญชัญคิ้วขาว นกกวัก นกอีลุ้ม นกยางไฟ นกยางไฟหัวดํา นกยางกรอกพันธุ์จีน นกยางควาย นกยางดํา นกกระสาแดง นกเป็ดแดง นกกระเต็นอกขาว นกกระเต็นน้อย นกเอี้ยงสาลิกา นกเอี้ยงควาย นกเอี้ยงหงอน นกปรอทหน้านวล นกขมิ้นน้อย นกกระติ๊ดหัวขาว นกจาบคาหัวส้ม นกแซงแซวหางปลา และนกแต้วแร้ว เป็นต้น
นายชาลีกล่าวว่า หลังจากสํารวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนกชนิดต่างๆ สมบูรณ์แล้ว จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มีความสนใจศึกษาธรรมชาติของนก ได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง โดยจัดทําเป็นแหล่งดูนกเพื่อส่งเสริมให้เกิดความรักและหวงแหน ที่จะดูแลรักษานกให้อยู่คู่กับธรรมชาติอย่างปลอดภัย หลังจากนี้จะเปิดอบรมมัคคุเทศน์น้อย โดยให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิตของนก จะได้แนะนําผู้มาเที่ยวชมนกภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ต่อไป
วันนี้สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 เทศบาลนครตรัง นอกจากจะเป็นสวนสาธารณะที่ประชาชนใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานที่ออกกําลังกายแล้ว ต่อไปยังจะต้องทำหน้าที่ในฐานะแหล่งดูนกแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของภาคใต้ และแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชนทั่วไป ว่าการอยู่ร่วมอย่างเกื้อกูลกัน โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเป็นต้นทุนนั้น เขาทำกันได้อย่างไร ทั้งที่อยู่ในกลางเมือง อยากรู้ลองไปเยือนสักครั้งซิครับ

"สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 เทศบาลนครตรัง"
สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 เทศบาลนครตรัง"
นับเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองตรัง ที่ยังคงสภาพความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บนเนื้อที่กว่า 280 ไร่ มีลักษณะคล้ายเหยือกแก้วหรือแจกันที่คอดกลาง สภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม และป่าราโพ เดิมชาวบ้านเรียกว่า "ทุ่งนํ้าผุด” และเกาะกลางนํ้าที่มองดูคล้ายเนินเขา ซึ่งเทศบาลนครตรังได้เนรมิตให้เป็นสวนสาธารณะ สถานที่ออกกำลังกาย และพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน

ปัจจุบันสวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 ได้รับการปรับปรุงด้วยการขุดลอกสระ สร้างเรือนเพาะชํา สะพานแขวนเชื่อมเกาะกลางนํ้า อาคารชมวิว ศาลาพักผ่อน ลานอเนกประสงค์ ป้อมยาม ห้องสุขา อาคารสูบนํ้า ตั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่าง และถนนลาดยางโดยรอบ
ทําให้สวนสาธารณะแห่งนี้มีความสวยสดงดงาม และกลายเป็นสถานที่ยอดนิยมของประชาชน ที่พากันมาใช้ออกกําลังกาย และนั่งชมวิวทิวทัศน์กันเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน เพราะนอกจากทัศนียภาพที่เขียวชะอุ่ม เพราะพันธุ์พืชนานาชนิดในเวิ้งทุ่งกว้าง แล้ว สวนสาธารณะแห่งนี้ยังเป็นที่พักอาศัยของสัตว์นํ้าน้อยใหญ่ ป่าราโพที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ เป็นที่อาศัยของบรรดานกนานาชนิด
ใครที่มีโอกาสแวะเวียนเข้าชมความงามภายในสวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 เทศบาลนครตรัง เชื่อเหลือเกินว่าชีวิตจะได้รับการต่อเติมให้ยืนยาวขึ้นอีก เพราะจะได้รับความสุขทั้งกายและใจ หลายคนที่เดินลัดเลาะผ่านทุ่งป่าราโพ สามารถเพลิดเพลินกับความเขียวขจีของแมกไม้ และชมนกหลากชนิดส่งเสียงร้องกังวานไปทั้งทุ่ง
นายชาลี กางอิ่ม นายกเทศมนตรีเทศบาลนครตรัง กล่าวว่า ขณะนี้ได้รณรงค์ให้สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เนื่องจากสภาพธรรมชาติภายในยังคงความสมบูรณ์ โดยเฉพาะระบบนิเวศของป่าราโพ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนก จึงสมควรอนุรักษ์ให้เป็นที่อยู่อาศัยของนกสืบไป และเชื่อเหลือเกินว่าในอนาคตจะเป็นแหล่งรวมนกนานาชนิด โดยเฉพาะนกน้ำที่อพยพมาตามฤดูกาลอีกด้วย
จากการที่บริษัท แอ็ดวานซ์ ไทยแลนด์ จีโอกราฟฟิค จำกัด เข้ามาสํารวจ ทำให้ทราบว่า ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้มีนกอาศัยอยู่ตลอดทั้งปี และเป็นนกมาอาศัยตามฤดูกาลกว่า 30 ชนิด อาทิ นกหนูแดง นกอัญชัญคิ้วขาว นกกวัก นกอีลุ้ม นกยางไฟ นกยางไฟหัวดํา นกยางกรอกพันธุ์จีน นกยางควาย นกยางดํา นกกระสาแดง นกเป็ดแดง นกกระเต็นอกขาว นกกระเต็นน้อย นกเอี้ยงสาลิกา นกเอี้ยงควาย นกเอี้ยงหงอน นกปรอทหน้านวล นกขมิ้นน้อย นกกระติ๊ดหัวขาว นกจาบคาหัวส้ม นกแซงแซวหางปลา และนกแต้วแร้ว เป็นต้น
นายชาลีกล่าวว่า หลังจากสํารวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนกชนิดต่างๆ สมบูรณ์แล้ว จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มีความสนใจศึกษาธรรมชาติของนก ได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง โดยจัดทําเป็นแหล่งดูนกเพื่อส่งเสริมให้เกิดความรักและหวงแหน ที่จะดูแลรักษานกให้อยู่คู่กับธรรมชาติอย่างปลอดภัย หลังจากนี้จะเปิดอบรมมัคคุเทศน์น้อย โดยให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิตของนก จะได้แนะนําผู้มาเที่ยวชมนกภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ต่อไป
วันนี้สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 เทศบาลนครตรัง นอกจากจะเป็นสวนสาธารณะที่ประชาชนใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานที่ออกกําลังกายแล้ว ต่อไปยังจะต้องทำหน้าที่ในฐานะแหล่งดูนกแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของภาคใต้ และแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชนทั่วไป ว่าการอยู่ร่วมอย่างเกื้อกูลกัน โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเป็นต้นทุนนั้น เขาทำกันได้อย่างไร ทั้งที่อยู่ในกลางเมือง อยากรู้ลองไปเยือนสักครั้งซิครับ
กระพังสุรินทร์

กระพังสุรินทร์
เป็นสระน้ำธรรมชาติกว้างประมาณ 50 ไร่ มีสะพานคอนกรีตเชื่อมไปสู่ศาลากลางน้ำที่สร้างไว้อย่างสวยงาม เชื่อมถึงกันทั้ง 3 ศาลา รอบๆ บริเวณได้รับการแต่งเป็นสวนสาธารณะ มีสวนสัตว์และภัตตาคารร้านอาหารใต้ร่มไม้ ไว้บริการแก่ผู้เข้าไปเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อนยามเย็น เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณอนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ เท่าใดนัก
วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร

วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
ตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือวัดระฆัง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ สร้างตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระประธานยิ้มรับฟ้า เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระราชาคณะในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์ ให้ขอพรโดยการสวดคาถาชินบัญชร แล้วปักธูปที่กระถาง และปิดทองที่รูปปั้น เสร็จแล้วพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สามารถเดินทางโดยรถประจำทางสาย 19, 57 หรือมาทางเรือโดยเรือด่วนเจ้าพระยา ลงที่ท่าเรือรถไฟหรือท่าวังหลัง หรือข้ามฟากที่ท่าช้าง แล้วขึ้นที่ท่าเรือวัดระฆัง
เวทีมวยกรุงเทพ และโรงเรียนมวยไทยวันทรงชัย

เวทีมวยกรุงเทพ และโรงเรียนมวยไทยวันทรงชัย
เวทีมวยกรุงเทพ และโรงเรียนมวยไทยวันทรงชัย
ตั้งอยู่ที่ถนนเทียมร่วมมิตร เขตห้วยขวาง เป็นสนามมวยมาตรฐานแห่งใหม่ใจกลางเมือง ย่านถนนรัชดาภิเษก เปิดเมื่อเดือนตุลาคม 2549 เน้นการเเข่งขันศิลปะการต่อสู้มวยไทยที่ให้ทั้งความรู้และความบันเทิง ด้วยระบบแสง สี เสียง ตระการตา พร้อมเครื่องปรับอากาศภายใน จัดการแข่งขันยอดมวยไทยกับยอดมวยจากต่างชาติ การชิงแชมป์เปี้ยนโลกมวยไทย การชิงแชมป์โลกมวยสากล ทั้งมวยชายและมวยหญิง เหมาะสำหรับผู้เข้าชมที่มาในรูปแบบหมู่คณะและรูปแบบครอบครัว ผู้ชมจะทราบประวัติ ความเป็นมาของมวยไทยซึ่งเป็นมรดกของชาติ และเป็นเวทีมวยแห่งเดียวที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมสัมผัสกับบรรยากาศสด การเตรียมความพร้อมของนักมวยก่อนขึ้นสังเวียน และถ่ายรูปคู่กับนักมวยขวัญใจในสตูดิโอ
นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนมวยไทยวันทรงชัย สำหรับผู้ต้องการเรียนเพื่อเป็นนักมวยอาชีพหรือเพื่อเป็นศิลปะการป้องกันตัว โดยมีทั้งหลักสูตรระยะสั้นและหลักสูตรระยะยาว
การเดินทางใช้ถนนรัชดาภิเษก เลี้ยวขวาเข้าถนนเทียมร่วมมิตรตรงศูนย์วัฒนธรรม ผ่านสยามนิรมิต ตรงไปจะพบสามแยกแล้วเลี้ยวขวา (เป็นทางวันเวย์) เวทีมวยกรุงเทพจะอยู่ทางด้านขวามือ รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ บริษัท วันทรงชัย จำกัด โทร. 0 2618 5314 - 6 เว็บไซต์ www.muaythai.co.th
นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก (โจหลุยส์เธียเตอร์)

นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก (โจหลุยส์เธียเตอร์)
นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก (โจหลุยส์เธียเตอร์)
การแสดงหุ่นละครเล็กโจหลุยส์ ได้รับรางวัลการแสดงศิลปวัฒนธรรมยอดเยี่ยม จากการประกวดหุ่นนานาชาติ ครั้งที่ 10 ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 โดยมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันจาก 40 ประเทศ
นาฎยศาลา หรือ โจหลุยส์เธียร์เตอร์ ตั้งอยู่ที่สวนลุมไนท์บาร์ซาร์ ถนนพระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน โรงละครเชิดหุ่นละครเล็ก เกิดขึ้นจากปณิธานความตั้งใจของ โจ หลุยส์ หรือ ครูสาคร ยังเขียวสด ศิลปินแห่งชาติปี พ.ศ. 2539 ซึ่งต้องการรักษาศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กมิให้หายไปตามกาลเวลา การเชิดหุ่นละครเล็กผู้เชิดจำเป็นต้องมีพื้นฐานทางด้านการแสดงโขนมาดัวย เนื่องจากในระหว่างที่เชิดหุ่น ผู้เชิดต้องร่ายรำตามไปด้วยและในขณะเดียวกันหุ่น 1 ตัว ต้องใช้ผู้เชิดถึง 3 คน ทำให้หุ่นเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต เรื่องราวที่นำมาแสดงเป็นเรื่องรามเกียรติ์ ปัจจุบันมีคณะสาครนาฏศิลป์เหลืออยู่เพียงคณะเดียวในประเทศไทยที่สืบสานศิลปะแขนงนี้ให้อนุชนรุ่นหลังต่อไป ได้รับรางวัลดีเด่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประเภทแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประจำปี 2543
โรงละครเปิดการแสดงทุกวัน เวลา 19.30 น. น. มีซุ้มสาธิตการทำหัวโขนให้ผู้สนใจในศิลปะไทยได้ชมและแกลเลอรี่หุ่นละครเล็กแสดงประวัติหุ่นต่างๆ ค่าชมการแสดง ชาวไทย 400 บาท ชาวต่างประเทศ 900 บาท โรงละครเปิดตั้งแต่เวลา 17.00-21.45 น.
การเดินทาง รถไฟฟ้าใต้ดิน ลงที่สถานีลุมพินี หรือโดยสารรถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีศาลาแดง ต่อรถประจำทางสาย 115สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2252 9683-4 หรือชมเว็บไซต์ www.thaipupet.com
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
ที่อยู่ 1875 ถนนพระราม 4 แขวงลุมพินี อำเภอ เขตปทุมวัน จังหวัด กรุงเทพมหานคร
โทรศัพท์ 0 2252 9683-4 โทรสาร 0 2252 9685
Website http://www.thaipuppet.com Email address joelouistheater_pr@hotmail.com
สยามนิรมิต

สยามนิรมิต
สยามนิรมิต ตั้งอยู่ที่ถนนเทียมร่วมมิตร เยื้องศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ข้างสถานทูตเกาหลีใต้ เขตห้วยขวาง เป็นสถานที่จัดแสดงโชว์ศิลปวัฒนธรรมไทยรูปแบบใหม่ ระดับมาตรฐานโลก นำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต และคติความเชื่อของชนชาวสยาม ผ่านการนำเสนอโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งฉาก ระบบแสง สี เสียง ภาพ และเทคนิคพิเศษบนเวทีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยทุนสร้างนับพันล้านบาท เพื่อให้เป็นอัครการแสดงที่เป็นความภูมิใจของคนไทย และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมสำหรับต้อนรับบุคคลสำคัญและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
โรงละครรองรับผู้เข้าชมได้กว่า 2,000 ที่นั่ง เปิดแสดงวันละ 1 รอบ เวลา 20.00 น. ค่าบัตรเข้าชม 1,500 บาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2649 9222 หรือเว็บไซต์ www.siamniramit.com
วัดชนะสงคราม

แหล่งท่องเที่ยว จังหวัดกรุงเทพ
วัดชนะสงคราม
วัดชนะสงคราม
เดิมอยู่กลางทุ่งนาจึงเรียกว่า " วัดกลางนา" สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาขึ้นใหม่ และรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ชาวบ้านนิยมเรียกว่า" วัดตองปุ " ตามแบบวัดตองปุในสมัยอยุธยา ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึกจึงพระราชทานนามใหม่ว่า " วัดชนะสงคราม " เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย พระนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดา อนาวรญาณ"
วัดชนะสงครามตั้งอยู่ที่ ถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร สามารถเดินทางโดยรถประจำทางสาย 33, 64, 65, ปอ. 32, 64, 65
จังหวัดกรุงเทพฯ :

จังหวัดกรุงเทพฯ :
กรุงเทพฯ หรือ บางกอก เมืองหลวงของประเทศไทย เริ่มก่อตั้งภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงครองราชย์ปราบดาภิเษกเป็น
ปฐมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 เมษายน เดือนห้า แรม 9 ค่ำ ปีขาล พ.ศ. 2325 พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังทางคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาฟากตะวันออก เนื่องจากเป็นชัยภูมิที่ดีกว่ากรุงธนบุรีเพราะมีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแนวคูเมืองทางด้านตะวันตก และด้านใต้
อาณาเขตของกรุงเทพฯ ในขั้นแรกถือเอาแนวคูเมืองเดิมฝั่งตะวันออกของกรุงธนบุรี คือ แนวคลองหลอด ตั้งแต่ปากคลองตลาดจนออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า เป็นบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์
มีพื้นที่ประมาณ 1.8 ตารางกิโลเมตรบริเวณที่สร้างพระราชวังนั้นเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชเศรษฐีและชาวจีน ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปอยู่ที่สำเพ็ง ในการก่อสร้างพระราชวังโปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมาธิบดี กับพระยาวิจิตรนาวีเป็นแม่กองคุมการก่อสร้าง ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์
เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที (21 เมษายน 2325) พระราชวังแล้วเสร็จ เมื่อ พ.ศ. 2328 จึงได้จัดให้มีพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบแผน รวมทั้งงานฉลองพระนคร โดยพระราชทานนามพระนครใหม่ว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเปลี่ยน คำว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์” และในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีได้รวมจังหวัด ธนบุรีเข้าไว้ด้วยกันกับกรุงเทพฯ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “กรุงเทพมหานคร”
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)